วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2567

“ต้องปฏิเสธอำนาจเผด็จการทุกรูปแบบ” สัมภาษณ์- นคร มาฉิมโดย ประชาธิปไตย เจริญสุข

On December 18, 2017

คอลัมน์ : ฟังจากปาก

สัมภาษณ์โดย  : ประชาธิปไตย เจริญสุข

“นคร มาฉิม” อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ย้ำภาพรวมบ้านเมืองยังขัดแย้งรุนแรง เพราะรัฐบาลทหารล้มเหลวทั้งการแก้ปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม พรรคการเมืองต้องประกาศจุดยืนปฏิเสธนายกฯคนนอกและเผด็จการทุกรูปแบบ โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ต้องประกาศจุดยืนชัดเจนว่าไม่เอานายกฯคนนอก

+++++

สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ผมขอโฟกัสไปที่ด้านเศรษฐกิจก่อน ซึ่งถือว่าถดถอยลงอย่างรวดเร็ว ประชาชนเข้าสู่ภาวะข้าวยากหมากแพงอย่างแท้จริง แม้รัฐบาลพยายามใช้โพลออกสื่อเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและพยายามอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามา แต่ก็ไม่ครบวงจร เพราะคนมีเงินไม่กี่ตระกูลชะลอการลงทุน คนระดับกลางก็พยายามเอาตัวเองให้รอด ส่วนระดับล่าง ชาวไร่ ชาวนา เกษตรกรยิ่งทุกข์ยาก ผมพบกับมวลชนทุกคนล้วนมีความทุกข์ยากอัตคัด เป็นวิกฤตที่ซึมหนักกว่าปี 2540 ด้วยซ้ำไป คนชั้นล่างที่เป็นคนยากจนคือคนส่วนใหญ่ของประเทศ เมื่อราคาสินค้าการเกษตรทุกตัวตกต่ำและยังตกต่ำยาวนานต่อเนื่องอีก ทำให้แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากคนส่วนใหญ่ค่อนข้างลำบาก ขณะที่หนี้สินภาคครัวเรือนก็พุ่งขึ้น ยิ่งทำให้เกษตรกรในระดับจุลภาคและมหภาคชะลอตัวและซึมยาว เป็นยุคที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยและซึมลึกอย่างมาก เรียกได้เต็มปากว่าเป็นยุคข้าวยากหมากแพงที่คนจนลำบากมากที่สุดยุคหนึ่ง

ด้านสังคมก็ยังมีความขัดแย้งคุกรุ่น ไม่มีการปรองดองเลย แทนที่ 3-4 ปีที่ผ่านมารัฐบาลทหารที่เข้ามายึดอำนาจและเครือข่ายจะแสดงความจริงใจสร้างความสามัคคีปรองดอง ความสงบร่มเย็น แต่เป็นความนิ่งเพราะปากกระบอกปืนกดหัวไว้ ไม่ใช่ความสงบ ความแตกแยก ความขัดแย้งยังรุนแรง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความปรองดอง เพราะไม่เคยมีเลย ฝ่ายอำนาจรัฐที่มาจากชนชั้นศักดินาและชนชั้นขุนศึกที่เข้ายึดอำนาจกับฝ่ายทุนศักดินาที่อาศัยเครือข่ายชนชั้นสูงก็อาศัยปืนจากทหารยึดการผูกขาด ตัดตอน เอารัดเอาเปรียบ ใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ไม่มีความเป็นธรรม ความยุติธรรมภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขารู้ว่ามวลชนที่สนับสนุนเผด็จการน้อยลงทุกขณะ ดังนั้น จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อยืนอยู่ในอำนาจและครอบงำประชาชนโดยองคาพยพของพวกเขาให้ยาวนานที่สุด เข้มแข็งที่สุด เพื่อไม่ให้ประชาชนเอาคืนพวกเขาที่ทำร้ายต่อบ้านเมืองไว้ โดยเฉพาะคำถาม 6 ข้อที่ไร้สาระของ พล.อ.ประยุทธ์ล่าสุดที่ออกมา สะท้อนให้เห็นถึงความกลัวของ คสช. และเผด็จการ

ฝ่ายเสรีนิยม ฝ่ายเสรีชน ฝ่ายตรงข้ามกับเผด็จการกลับถูกไล่ล่า ถูกใช้กฎหมายอย่างอคติและปราศจากความยุติธรรม ความขัดแย้งทางสังคมรุนแรงและซึมลึก ทำให้สังคมไทยอยู่ในภาวะที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงและรอวันปะทุเท่านั้นเอง และถ้าเกิดสภาพการณ์เป็นไปแบบนี้ผมบอกเลยว่า พอถึงจุดๆหนึ่งขีดพิกัดหรือความอดทนของมวลชนที่ถูกไล่ล่า มวลชนผู้รักและศรัทธาประชาธิปไตย มวลชนที่ต้องการความเป็นธรรมแต่กลับถูกเลือกปฏิบัติอย่างอคติและอยุติธรรม ผมบอกได้เลยว่าสงครามกลางเมืองไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ มันมีความเป็นไปได้ถ้ายังมีการเลือกปฏิบัติแบบนี้

ส่วนสงครามกลางเมืองจะเกิดขึ้นในรูปแบบไหนนั้นไม่ทราบ แต่พอถึงจุดๆหนึ่งผมคิดว่าเริ่มมีคนคิดที่จะต่อต้านอำนาจรัฐที่ไม่มีความชอบธรรม ไม่มีความเป็นธรรม และใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงราษฎรอย่างต่อเนื่องยาวนานและรุนแรงมากยิ่งขึ้น ผมไม่ได้มองสังคมไทยในแง่ร้าย แต่มองว่าถึงจุดๆหนึ่งที่มีความเหลื่อมล้ำของกลุ่มทุนผูกขาดที่ยึดโยงกับอำนาจของขุนศึกและอำมาตย์ เขาผนึกกำลังกันอย่างเหนียวแน่นและสมประโยชน์บนความด้อย บนความเอาเปรียบที่คนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคนชั้นกลางไม่มีโอกาสลุกขึ้นยืน

สภาพสังคมวันนี้มีความเหลื่อมล้ำสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ที่สำคัญความขัดแย้งหนักหน่วงรุนแรงขึ้น ขณะที่ด้านการเมืองผมก็ถือว่าเลวร้ายที่สุด เพราะตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาเป็นการต่อสู้กันระหว่าง 2 ระบอบคือ ระบอบเผด็จการอำนาจนิยมกับระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม ระบอบเผด็จการอำนาจนิยมมีเครือข่ายเบ็ดเสร็จทั้งทุน ขุนศึก ศักดินา และปัจจุบันมีอำนาจที่ 5 คือสื่อมวลชน เป็นเครื่องมือในการล้างสมองและปฏิบัติการไอโออย่างหนักหน่วงเพื่อให้ได้เปรียบในทางการเมือง คนไทยที่ไม่มีโอกาสรับรู้ข้อมูลอย่างรอบด้านก็มองว่าระบอบประชาธิปไตยเลวร้าย ไม่ดีเท่ากับระบอบเผด็จการ พรรคการเมืองเลวร้าย นักการเมืองเลวร้าย จึงไม่จำเป็นจะต้องเข้มแข็ง

เขาจึงใช้ยุทธวิธี ยุทธศาสตร์ในการทำลายล้างระบอบประชาธิปไตยให้อ่อนแอที่สุด ที่เห็นได้ง่ายที่สุดคือ รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 เป็นรัฐธรรมนูญเพื่อโครงสร้างเผด็จการ เพื่ออำนาจของชนชั้นศักดินา เพื่ออำนาจในการอยู่ของชนชั้นปกครอง นายทุน ขุนศึก และเครือข่ายของเผด็จการอย่างฝังรากยาวนานและแทรกซึมไปทุกอณูให้เข้มแข็งโดยเครือข่ายของพวกเขา ในขณะเดียวกันฝ่ายประชาธิปไตยก็ต้องยอมรับว่าอำนาจเผด็จการและเครือข่ายเขามาเป็นพิมพ์เขียว เป็นโรดแม็พ เขาใช้บทเรียนจากอดีตหลายสิบปีหล่อหลอมว่าจุดอ่อนของเผด็จการทำไมถึงล้มเหลว อยู่ตรงไหน และจะทำอย่างไรให้การยึดอำนาจไม่เสียของ

เขาจึงวางระบบ วางเครือข่าย และออกพิมพ์เขียวมาเป็นเซต ใช้มาตรการทุกอย่างที่จะอุดช่องว่างของเผด็จการให้อยู่ยาวนานที่สุด วางเครือข่ายความเข้มแข็งให้มากที่สุด อุดช่องที่เคยล้มเหลวมาในอดีตตั้งแต่ยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพลถนอม กิตติขจร พล.อ.สุจินดา คราประยูร พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ทำให้เขามองภาพรวมว่าจะอุดจุดอ่อนยังไง จะเติมเต็มอำนาจอย่างไรให้เข้มแข็งที่สุด จะใช้เล่ห์เพทุบายโน้มน้าวสังคมให้เห็นด้วยกับระบอบเผด็จการอย่างไร และจะใช้วิธีสวมเสื้อคลุมประชาธิปไตยแต่อยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการ สุดท้ายที่เขาประสบความสำเร็จคือ อ้างความชอบธรรมการได้มาซึ่งอำนาจว่าประชาชนเห็นด้วยกับประชามติร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 ทำให้สามารถฝังรากลึกระบอบเผด็จการได้อย่างเข้มข้นและเข้มแข็ง เขาจึงมั่นใจว่าเอาอยู่

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเพียงตัวเล่นหนึ่งของระบอบเผด็จการเท่านั้น พล.อ.สนธิก็เป็นแค่ตัวละครตัวหนึ่งที่ปรากฏในฉากของระบอบเผด็จการ อันนี้คือความจริง แต่ฝั่งประชาธิปไตยถูกจำกัด ถูกไล่ล่า ถูกตัดแขนตัดขา แกนนำหลายเครือข่าย หลายกลุ่มถูกติดคุก หายตัวไป บางคนต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ การรวมตัวของฝั่งประชาธิปไตยจึงเป็นไปได้ยาก ประกอบกับเราต้องยอมรับความจริงว่าคนไทยส่วนหนึ่งยังอ่อนแอเกินไป และอีกส่วนหนึ่งยังนิยมชื่นชอบระบอบเผด็จการ

ดังนั้น การรวมตัวของฝ่ายประชาธิปไตยจึงไม่ติด ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ พรรคการเมืองแม้จะเป็นพรรคเก่าแก่ สั่งสมประสบการณ์มายาวนาน แทนที่จะต่อสู้เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย แต่พรรคการเมืองบางพรรคก็ยอมเป็นเครื่องมือให้กับอำนาจเผด็จการ ขอเพียงให้ตัวเองได้มีส่วนร่วมในการบริหารอำนาจบ้าง แค่เศษเนื้อข้างเขียงก็เอา ได้ไปคุมกระทรวงที่ตนเองพอจะยืนอยู่ได้บ้างก็เอา โดยไม่คำนึงถึงว่าเป็นเครื่องมือให้เผด็จการ รับใช้เผด็จการ

ที่เลวร้ายที่สุดคือ พรรคการเมืองบางพรรคยอมเป็นเครื่องมือให้กับเผด็จการในการที่จะสมคบคิดกันทำลายล้างอำนาจอธิปไตยของประชาชนเอง คือการปฏิเสธอำนาจประชาชนโดยไม่ลงเลือกตั้ง เป็นต้น ตรงนี้เป็นสิ่งที่ฝ่ายการเมือง ฝ่ายประชาธิปไตย ฝ่ายที่อ้างว่าตนเองอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยสยบยอมต่ออำนาจเผด็จการ ยอมเป็นเครื่องมือในการใช้อำนาจเผด็จการ ยอมเป็นเครื่องมือในการสมคบคิดกันเพื่อที่จะทำลายประชาธิปไตยเอง เป็นสิ่งที่น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง และประวัติศาสตร์ก็คงจารึกว่าพรรคการเมืองเหล่านั้น นักการเมืองเหล่านั้น มีส่วนร่วมในการทำลายประชาธิปไตยอย่างไร

ขอให้ประชาชนได้หูตาสว่าง วันหนึ่งข้างหน้าผมคาดว่าประชาชนคงจะให้คำตอบกับพรรคการเมืองต่างๆที่มีส่วนร่วมในการทำลายประชาธิปไตยที่เป็นอำนาจของประชาชน ให้คำตอบพวกเขาโดยรู้เท่าทันและตัดสินใจอย่างมีเหตุผล เป้าหมายคือทำอย่างไรให้คนไทยส่วนใหญ่ได้รับรู้ข้อมูลทุกด้าน จะได้หูตาสว่าง ได้รับรู้ความจริงในทุกด้าน ผ่านทะลุขีดขั้นหรือกำแพงที่เขาหลอกลวงไว้ ใช้เล่ห์เพทุบายกีดกันไว้ มองไปที่อุดมการณ์เพื่อประชาธิปไตยคือ อำนาจเป็นของประชาชน อำนาจที่ได้มาโดยประชาชน และผู้ที่ได้อำนาจมาบริหารบ้านเมืองก็ต้องตอบแทนบุญคุณประชาชน

ท่าที ปชป. กับทหารในอนาคต

ถ้ามองในฐานะที่ผมเคยอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์มาเกือบ 20 ปี ผมเองอยากจะให้พรรคประชาธิปัตย์ได้หันกลับมาเป็นพรรคการเมืองที่ยืนอยู่ฝั่งประชาธิปไตย ให้เอาประวัติศาสตร์เป็นบทเรียน โดยผมขอถามกลับไปยังพรรคประชาธิปัตย์ว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์คว่ำบาตรหรือปฏิเสธอำนาจประชาชน บอยคอตการเลือกตั้งถึง 2 ครั้ง จุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ต้องการอะไร และมูลเหตุการบอยคอตนั้นเป็นมูลเหตุสำคัญในการที่ทหารใช้เป็นข้ออ้างเข้ามายึดอำนาจทั้ง 2 ครั้งหลังสุดหรือไม่

ผมต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์หันกลับมายืนอยู่กับประชาธิปไตย หันกลับมายืนอยู่บนจุดที่ควรจะเป็น และคำถามที่ 3 ต้องย้อนกลับไปว่า พรรคประชาธิปัตย์โดยแกนนำบางคนของพรรคได้มีส่วนสมคบคิดกับคณะรัฐประหารทั้ง 2 ชุดหรือไม่ ผมอยากให้พรรคประชาธิปัตย์หันกลับมายืนอยู่ฝั่งประชาธิปไตย ขอให้ท่านร่วมกันรักษาระบอบประชาธิปไตย และร่วมกันรักษาอำนาจของประชาชน ขอให้ท่านปฏิเสธอำนาจของเผด็จการทุกรูปแบบอย่างจริงจัง ไม่ใช่ต้องการที่จะมาด่ารัฐบาลทหาร เพราะเห็นว่ารัฐบาลทหารตอนนี้เป็นช่วงขาลง แล้วต้องการดีดตัวเองออกมาจากการถูกตราหน้าว่าเป็นแนวร่วมของเผด็จการเท่านั้น แต่ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์และคณะกรรมการบริหารพรรคหันมากลับมาแสดงจุดยืนว่าจากนี้ไปจะร่วมมือกับทุกพรรค ไม่ว่าจะเป็นพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย หรือพรรคการเมืองอื่นๆ ปฏิเสธอำนาจเผด็จการทุกรูปแบบ ประกาศต่อสาธารณชนอย่างชัดเจนตรงไปตรงมาเลยว่า เราจะร่วมกันปฏิเสธนายกรัฐมนตรีคนนอก เราจะเอานายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเท่านั้น

ถ้าพรรคประชาธิปัตย์กล้าจริง มีความจริงใจ และไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมทางการเมือง ขอให้ร่วมประกาศจุดยืนกับทุกพรรคการเมืองอย่างตรงไปตรงมาว่าจะไม่ยอมรับนายกรัฐมนตรีที่มาจากคนนอก เพราะไม่ใช่อำนาจที่แท้จริงของประชาชน มันเป็นการวางสายสนกลในของกฎหมายรัฐธรรมนูญที่มีพิษฉบับนี้สืบสานอำนาจเผด็จการไว้อย่างเต็มรูปแบบทุกอย่าง ขอให้พรรคประชาธิปัตย์ประกาศจุดยืนให้ชัดเจนต่อสาธารณะ แล้วเรามาร่วมมือกันเพื่อพัฒนาประชาธิปไตย เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย และปฏิเสธอำนาจเผด็จการทุกรูปแบบ

ปชป. จะตั้งรัฐบาลกับทหาร

หลายฝ่ายวิเคราะห์กันว่า แม้พรรคประชาธิปัตย์จะออกมาวิพากษ์วิจารณ์ตำหนิการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาล คสช. แต่สุดท้ายแล้วหลังการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ก็จะร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับทหารแล้วผลักดันให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีคนนอก ถ้าให้ผมอ่านใจพรรคประชาธิปัตย์ ผมมองว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่กล้าปฏิเสธทหาร คงมีแผนที่จะร่วมเป็นรัฐบาลในอนาคตกับ พล.อ.ประยุทธ์อยู่แล้ว แต่ถ้าพรรคประชาธิปัตย์จริงใจกับประชาชน จริงใจกับประชาธิปไตย ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใด และมีความตรงไปตรงมา พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องประกาศจุดยืนอย่างชัดเจน ให้สัตยาบันต่อประชาชน โดยคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือตัวแทนของพรรคต้องร่วมกันประกาศจุดยืนปฏิเสธนายกรัฐมนตรีคนนอก และปฏิเสธอำนาจเผด็จการทุกรูปแบบ ถ้าประกาศแบบนี้ผมจะคารวะให้กับพรรคประชาธิปัตย์

ปี 2561 จะมีเลือกตั้งหรือไม่

ผมดูจากปฏิกิริยาขององคาพยพของเผด็จการ แขน ขา เครือข่าย และแนวร่วมฝั่งเผด็จการ ที่เคยโยนหินถามทางโดยอ้างเหตุโน้นเหตุนี้ ตีรวนมาตลอด ดูแนวโน้มแล้วเขาไม่กล้าจะคืนอำนาจ ไม่กล้าจะให้มีการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อเลื่อนการเลือกตั้งออกไป ดังนั้น ปี 2561 คงเป็นไปได้ยากที่จะมีการเลือกตั้ง ส่วนรัฐบาล คสช. จะเลื่อนออกไปนานเท่าไร ผมคิดว่าเขาคงดูที่ความเหมาะสม เพราะธงของเขาคือยึดอำนาจมาครั้งนี้ต้องไม่เสียของ จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่ออยู่ในอำนาจให้นานที่สุด เพราะกลัวว่าถ้าคืนอำนาจให้ประชาชน ประชาชนจะเอาคืนพวกเขาและเครือข่าย เขากลัวไม่มีแผ่นดินจะอยู่  กลัวถูกไล่ล่าจากฝ่ายประชาธิปไตยและประชาชน


You must be logged in to post a comment Login