วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2567

‘ต้มยำกุ้ง’เป็น‘ต้มกบ’ / โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

On August 24, 2017

คอลัมน์ : โดนไป บ่นไป
ผู้เขียน : ..อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

มีนักวิชาการจำนวนไม่น้อยที่ตั้งคำถามกับตัวเลขด้านเศรษฐกิจมหภาคของรัฐบาลทหารว่า วิ่งสวนทางกับข้อมูลที่แท้จริงหรือไม่? โดยเฉพาะท่านผู้นำสูงสุดของไทยที่คุยใหญ่คุยโตผ่านรายการ “ยอดฮิต” ของตัวเองทุกวันศุกร์ว่า อีก 20 ปีรายได้เฉลี่ยของคนไทยจะสูงถึง 37,500 บาทต่อคน และจีดีพีของประเทศจะโตถึง 5% ถ้าเดินตามยุทธศาสตร์ที่ คสช. กำหนด

ติดตามด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและเลขาธิการสภาพัฒน์ (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ก็ออกมายืนยันว่า ในไตรมาส 2 นี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวสูงสุดในรอบ 17 ไตรมาส และจีดีพีจะขึ้นไปถึง 3.7%

ข้อมูล “สุดยอด” แบบนี้ถือว่าเป็น “ข่าวดี” ของประเทศอย่างไม่ต้องสงสัย

ท่านผู้อ่านที่เคารพ บิ๊กตัวจริงเสียงจริงลงทุนเรียงตัวออกมาแถลงข้อมูลกันอย่าง “เต็มปากเต็มคำ” แบบนี้ เป็นใครจะไม่เชื่อบ้าง และผมมั่นใจว่าคงมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่เริ่มฝันหวานและมีความหวังไปกับอนาคตของประเทศที่เศรษฐกิจแห้งเหี่ยวถดถอยต่อเนื่องมาเรื่อยๆตั้งแต่หลังรัฐประหารว่า อีกไม่นานเราคงจะกลับไปลืมตาอ้าปากกันได้อีกครั้ง

สาบานได้เลยครับว่าผมอยากให้ตัวเลขคาดการณ์เหล่านี้เป็นจริงตาม “ราคาคุย” ของผู้มีอำนาจทุกคน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริงคนไทยคงจะมีความสุขไม่น้อย แต่พอได้อ่านรายงานสภาพความเป็นจริงจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ไม่ว่าจะเล็ก กลาง หรือใหญ่ กลับพบว่าเศรษฐกิจของไทยยังฟุบแบบไม่ฟื้น สวนทางกับข้อมูลที่ท่านอ้างถึง

ข้อมูลล่าสุดจนถึงวันที่ 16 สิงหาคม 2560 พบว่าการดำเนินงานของบริษัทส่วนใหญ่มีผลประกอบการที่น่าผิดหวัง โดยปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีบริษัทที่มีผลประกอบการติดลบหรือขาดทุนสุทธิแล้วสูงถึง 163 บริษัท จากที่มีการประกาศผลประกอบการออกมาทั้งสิ้น 560 บริษัท

ผมอยากหลอกตัวเองให้เชื่อข้อมูลว่าเศรษฐกิจไทยกำลังจะใกล้ขาขึ้นเต็มที และอยากให้อีก 20 ปีประเทศไทยมีเศรษฐกิจที่เข้มแข็งติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกตามที่พวกท่านคุยให้ฟังจริงๆ เพราะต้องยอมรับว่าสิ่งที่ท่านเล่านั้นมีเหตุผลที่ฟังแล้วเคลิ้มได้ไม่ยาก เช่น การลงทุนที่รัฐบาลควักเงินเพื่อทำโครงสร้างพื้นฐานต่างๆให้กับประเทศจะทำให้เศรษฐกิจมีโอกาสขยายตัว 4-5% ถือว่าเป็นแนวทางถูกต้องที่หลายประเทศนิยมทำเช่นกัน

ถ้าทุ่มทุนสร้างจริงๆจังๆผมเชื่อว่ามีโอกาสเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะขยายตัวได้จริง แต่พอนึกถึงงบประมาณที่ใช้แล้วไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อีกหลายประเภท เช่น การซื้ออาวุธของกองทัพหลากหลายชนิด ไปจนถึงการใช้จ่ายงบประมาณให้กับ ฯพณฯ ทั้งหลายที่ได้รับการแต่งตั้งให้มาทำหน้าที่ปฏิรูปประเทศ โดยที่บางคนได้รับเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงซ้ำซ้อนกันหลายตำแหน่ง รวมแล้วรับกันคนละหลายล้านบาทต่อปี

ผมเลยไม่อาจยอมเผลอใจเชื่อได้ว่าการคาดการณ์ที่สวยหรูดังกล่าวจะเกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งก็สอดคล้องกับตัวเลขการลงทุนภาครัฐที่ติดลบถึง 7% จากไตรมาสแรกที่ขยายตัว 9.7% และการใช้จ่ายภาครัฐที่ขยายตัวสูงกว่าไตรมาสที่ผ่านมา แม้ว่าภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวจะค่อยๆดีขึ้นมาตามลำดับก็ตาม แต่เงินบาทก็ยังแข็งโป๊ก ซึ่งแปลว่าการใช้จ่ายในประเทศมีปริมาณลดต่ำลงกว่ารายได้ของประเทศ ทั้งๆที่รายได้ของประเทศก็ลดลงไปแล้วจากเดิมไม่ใช่น้อย

เมื่ออ่านรายงานบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆต้องบอกว่าความเป็นไปได้ที่ผู้มีอำนาจคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นยิ่งห่างไกลจากความเป็นจริงออกไปเรื่อยๆ เพราะไตรมาส 2 ของปีนี้จากบริษัทจดทะเบียน 99% ของมาร์เกตแคปมีกำไรสุทธิลดลง 11% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว และลดลงถึง 23.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีนี้

เท่านั้นยังไม่พอ รายงานการวิเคราะห์ยังพบว่า จาก 125 บริษัทที่มีขนาดครอบคลุมมาร์เกตแคปของตลาดมีผลประกอบการออกมาแย่กว่าที่คิดค่อนข้างมาก โดยผลประกอบการในไตรมาส 2 พบว่าทั้งหุ้นขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ มีมูลค่าลดลง และคาดว่าจะมีจำนวนบริษัทที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนเพิ่มมากขึ้น

ส่วนในช่วงไตรมาส 3 ก็คาดว่าจะมีผลประกอบการใกล้เคียงกับไตรมาส 2 แต่อย่างไรก็ดี เชื่อว่าแนวโน้มในไตรมาสสุดท้ายจะต้องดีขึ้น เพราะโดยปรกติบริษัทจดทะเบียนจะมีกำไรพุ่งขึ้นในช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 4 ของทุกปี แต่ที่สำคัญคือตัวเลขที่คาดว่าจะเป็นกำไรรวมของปีนี้จะ “ต่ำกว่าเดิม” ที่คาดการณ์เอาไว้ถึง 1 ล้านล้านบาท

ถ้ามาดูในรายละเอียดกลุ่มธุรกิจที่กำไรทรุดฮวบจะพบว่ากำไรสุทธิที่ลดลงเป็นผลพวงจากการลดลงเกือบทุกกลุ่มธุรกิจ และหากไม่รวมกลุ่มธนาคารพาณิชย์พบว่าทำกำไรสุทธิรวมกันได้แค่ 164,900 ล้านบาท ลดลง 12% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง 26.2% จากไตรมาสก่อนหน้า

กลุ่มธุรกิจที่กำไรลดลงมากสุด 5 อันดับแรก เริ่มจากธุรกิจขนส่ง (ส่วนใหญ่ทางอากาศและทางทะเล) โดยกำไรสุทธิปรับตัวลดลง 48% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง 86% จากไตรมาสก่อนหน้า อันดับ 2 กลุ่มไอซีที ลดลง 42% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง 40% จากไตรมาสก่อนหน้า อันดับ 3 ได้แก่กลุ่มปิโตรเคมี ลดลง 7.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง 42% จากไตรมาสก่อนหน้า

อันดับ 4 แย่ไม่แพ้กันคือ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ลดลง 27% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง 30% จากไตรมาสก่อนหน้า และสุดท้ายอันดับ 5 เป็นกลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ลดลงประมาณ 29% จากช่วงเดียวกันปีก่อนและจากไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังดีที่มีกลุ่มธุรกิจที่กำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่บ้าง แม้จะมีเพียง 3 กลุ่มก็ตาม โดยกลุ่มธุรกิจที่มีกำไรเพิ่มขึ้นอันดับแรกได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล มีกำไรเพิ่มขึ้น 67.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 44% จากไตรมาสก่อนหน้า อันดับ 2 กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มขึ้น 38% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 80% จากไตรมาสก่อนหน้า และกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มพาณิชย์ เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อนหน้า

อย่างไรก็ตาม ที่น่าผิดหวังก็คือ เมื่อรวมกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกสามารถทำได้แค่ 500,000 ล้านบาทเท่านั้น หรือคิดเป็น 50% ของประมาณการกำไรปี 2560 ที่ประเมินไว้สูงถึง 990,000 ล้านบาท ดังนั้น การคาดการณ์ว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจและจีดีพีจะเพิ่มขึ้นตามที่ท่านผู้นำสูงสุดและบริวารออกมาให้ข้อมูลจึงมีข้อเท็จจริงอีกด้านให้พิจารณากันเองว่าจะเชื่อใครดี?

แต่ที่แน่ๆผมขอเชื่อสิ่งที่ผมเห็นด้วยตามาตลอด 3 ปีนี้ โดยไม่อ้างตัวเลขทางเศรษฐกิจของใครทั้งสิ้น เพราะที่คุยว่าไตรมาส 2 จะโต 3.7% นั้น ไทยก็ยังหล่นจากอันดับ 2 ของอาเซียนไปอยู่อันดับ 5 อยู่ดี แต่อยากให้ทุกท่านที่เกิดทันวิกฤต “ต้มยำกุ้ง” ได้จดจำและระมัดระวังธุรกิจของท่านตอนนี้ให้ดี เพราะวันนั้นก็ไม่มีใครเชื่อเรื่องพิษร้ายของต้มยำกุ้งมาก่อน จนกระทั่งมันออกฤทธิ์ทำลายทั้งระบบ ซึ่งก็สายเกินกว่าจะแก้ไขเสียแล้ว

จาก “ต้มยำกุ้ง” มาสู่ทฤษฎี “ต้มกบ” ซึ่งเป็นทฤษฎีที่มีอยู่จริงในการเตือนให้เห็นถึงสภาวะความเสื่อมถอยทางเศรษฐกิจ หากท่านผู้นำสูงสุดและบริวารยังหลงละเมอไปกับตัวเลขสวยหรู สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ จะกระโดดหนีออกมาทันก่อนที่น้ำจะเดือดหรือไม่ เพราะถ้าปล่อยไว้แบบนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็เหมือนกับการเอา “ฝามาปิดหม้อ” ถึงเวลานั้นต่อให้ใครต้องการกระโดดหนีออกมาก็ทำไม่ได้แล้ว สุดท้ายก็กลายเป็น “กบต้มเปื่อย” เหมือนกันทุกคน เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้


You must be logged in to post a comment Login