วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

‘หมุด’เล็กเรื่องใหญ่

On April 18, 2017

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

การหายไปของ “หมุดคณะราษฎร” หรือชื่ออย่างเป็นทางการเรียกว่า “หมุดก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ” นับเป็นประเด็นร้อนที่ถูกจุดขึ้นมาใหม่ และเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น

อย่างที่ทราบกันว่าหลังจากที่หมุดได้หายไปแล้วถูกเปลี่ยนอันใหม่มาฝังไปแทนมีความเคลื่อนไหวของหลายฝ่ายที่ต้องการทราบข้อเท็จจริงว่า หมุดนั้นหายไปได้อย่างไร ใครเป็นคนนำออกไป แล้วใครเป็นคนนำของใหม่ที่มีข้อความที่แตกต่างไปจากเดิมมาติดเอาไว้แทน

หมุดไม่มีขา เดินเองไม่ได้ ต้องมีคนเอาไป ทำไมต้องเอาไป เอาไปทำไม ใครเอาไป ใครเป็นคนสั่งให้เอาไป เหล่านี้คือสิ่งที่ประชาชนต้องการคำตอบ

หมุดนี้ถูกฝังเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2479 โดย “พระยาพหลพลพยุหเสนา” อดีตนายกรัฐมนตรี

ชัดเจนว่ามีความเป็นมาเป็นไป และบอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ทางการเมืองของไทย จึงถือว่ามีความสำคัญ จะเรียกว่าเป็นมรดกของชาติก็ว่าได้

การหายไปของหมุดขณะนี้มีเพียงกลุ่มคนที่สนใจการเมือง สนใจประวัติ ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ตามหมุดของเก่ากลับมาฝังไว้ที่เดิม ยังไม่มีการแสดงความเห็นของฝ่ายคุมอำนาจรัฐในปัจจุบัน

เชื่อว่าหลังหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์การกลับมาทำงานอีกครั้งหนึ่งของคนในฝ่ายคุมอำนาจทั้งหลายจะมีนักข่าวที่สนใจเรื่องนี้เอาไมค์ไปจ่อปากถามให้ท่านๆทั้งหลายตอบ

คำตอบจากท่านผู้มีอำนาจทั้งหลายที่จะได้ยินกันหลังจากนี้ถือว่ามีความน่าสนใจเพราะ
คำตอบจะบอกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นไปในกาลข้างหน้า

หากเป็นคำตอบในทำนองที่ให้ความสำคัญสังคมก็จะกดดันให้หาความกระจ่างให้ได้โดยเร็วว่าหมุดนั้นหายไปไหน ใครเอาไป ใครเอาของใหม่มาติดไว้แทน และมีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร สถานการณ์จะคลี่คลายลง

เรื่องแบบนี้หากผู้มีอำนาจให้ความสนใจ ให้ความสำคัญ แน่นอนว่าหาคำตอบได้ไม่ยาก

แต่หากเป็นคำตอบในเชิงไม่ให้ความสนใจไม่ให้ความสำคัญ น่าจะมีปัญหาตามมาไม่มากก็น้อย

แน่นอนว่าต้องมีการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจพูดความจริงกับประชาชน หากทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ไม่สนใจเสียงเรียกร้อง ผู้มีอำนาจทั้งหลายก็จะตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการหายไปของ “หมุดก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ” นี้หรือไม่

เรื่องหากมองว่า “หมุดก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ” เป็นแค่วัตถุชิ้นหนึ่ง ก็อาจมองได้ว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่หากมองที่มาที่ไปของ “หมุดก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ” ที่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยมากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง แน่นอนว่าจะเป็นเรื่องใหญ่

หากผู้มีอำนาจทั้งหลายไม่ให้ความสำคัญ ไม่ให้ความสนใจ ไม่ให้คำตอบ นี่จะเป็นคลื่นอีกลูกที่จะซัด “เรือแป๊ะ” ของท่านผู้นำให้โคลงเคลง และอาจถึงขั้นอัปปางได้ หากกัปตัน “เรือแป๊ะ” ประมาทเกินไป


You must be logged in to post a comment Login