วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2567

หยุดหากินกับ‘ผีทักษิณ’! / โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

On April 6, 2017

คอลัมน์ : โดนไป บ่นไป
ผู้เขียน : น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

สัปดาห์ที่ผ่านมาผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านไม่น่าจะพลาดหัวข้อข่าวใหญ่หน้า 1 หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ นั่นก็คือจดหมายจากอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ถึงพี่น้องคนไทยที่ติดตามเฟซบุ๊คของท่าน หลายท่านคงได้อ่านแล้ว โดยเฉพาะฝ่ายเสนาธิการของ คสช. คงต้องอ่านหลายรอบ สรุปประเด็นได้อย่างชัดเจนว่า ท่านขอถอยออกจากปัญหาต่างๆด้วยการ “หยุด” เรื่องทุกอย่าง เพื่อไม่ให้ทุกฝ่ายนำตัวท่านไปสร้างเงื่อนไขเพื่อความชอบธรรมให้กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอีกต่อไป

เหลือเชื่อไหมครับ! คนที่เคยตะโกนปาวๆให้ทักษิณ “หยุด” พอทักษิณประกาศออกมาจริงๆว่า “หยุด” กลับดิ้นกันพราดๆยิ่งกว่าโดนน้ำร้อนลวก ทั้งๆที่ความจริงคนกลุ่มนี้คือคนที่สร้างวาทกรรมกล่าวหาอดีตนายกฯทักษิณว่าเป็นสาเหตุของปัญหามาโดยตลอด เมื่ออดีตนายกฯทักษิณแสดงความชัดเจนและจริงใจต่อสาธารณชนแบบนี้ พวกท่านเสียอีกที่ควรดีใจและควรกล่าวแสดงความชื่นชมที่อดีตนายกฯทักษิณยอมเสียสละ “ถอยตัวเองออกจากความขัดแย้ง” เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไป

แต่ฝ่ายที่เรียกร้องตั้งแต่ คสช. สนช. สปท. และอีกหลากหลายฝ่ายสารพัดตัวย่อ รวมถึงพรรคการเมืองบางพรรคและสื่อเลือกข้างทั้งหลาย ต่างออกมาถล่มโพสต์นี้อย่างเมามันจนผมไม่แน่ใจว่าท่านอ่านภาษาไทยที่อดีตนายกฯทักษิณเขียนออกหรือเปล่า เพราะถ้าเข้าใจภาษาไทยจริงๆ ข้อความที่ปรากฏไม่น่าจะต้องแปลความอะไรกันอีกแล้ว

ผมจำได้ว่าโพสต์สุดท้ายของอดีตนายกฯทักษิณที่พูดถึงการเมืองนั้นต้องย้อนหลังไปเกือบ 1 ปี คือโพสต์ไว้ตั้งแต่ 22 เมษายน 2559 หลังจากนั้นก็เงียบมาโดยตลอด แสดงความจริงใจอย่างชัดเจนว่าบ้านเมืองและประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหารก็ย่ำแย่พอแรงอยู่แล้ว หากท่านออกมาแสดงความเห็นอะไรก็รังแต่จะตกเป็นเครื่องมือให้ “พวกที่ชอบหากินกับความขัดแย้ง” นำท่านไปเป็นข้ออ้างว่าเป็นปัญหาและอุปสรรคกับการบริหารประเทศอย่างไม่รู้จบ

คนกลุ่มนี้มีใครบ้างท่านผู้อ่านคงคุ้นหน้าคุ้นตากันพอสมควร เพราะเป็นพวกที่ชอบหากินและได้ประโยชน์จากการสร้างให้มีความ “ขัดแย้ง” และหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่นำมาใช้จนเคยตัวคือ “ทักษิณ” ดังนั้น เมื่อทักษิณประกาศ “หยุด” คนกลุ่มนี้จึงต้องออกมาวิพากษ์วิจารณ์แบบข้างๆคูๆ บิดเบือนข้อมูลชักจูงสังคมให้เกิดความเข้าใจผิด ไม่เช่นนั้น “ลิ่วล้อของเผด็จการ” จะปราศจากข้ออ้างที่จะให้ “ลูกพี่” ของตนอยู่ในอำนาจต่อไป และตัวเองก็จะสูญเสียกระดูกและเศษเนื้อที่ฝ่ายเผด็จการโยนให้กินอีกด้วย

การเสนอข่าวและให้สัมภาษณ์ถึงโพสต์ล่าสุดของอดีตนายกฯทักษิณ ใครเสนอความจริง ใครบิดเบือน ใครจริงใจ ใครมีอคติ ใครเป็นพวกที่ชอบหากินกับความขัดแย้ง ใครอยากให้บ้านเมืองสงบ ฯลฯ อย่างเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Voice TV โดนคำสั่งให้หยุดออกอากาศ 7 วัน ด้วยเหตุผลที่เหลือเชื่อเมื่อเทียบกับการนำเสนอความจริงให้สังคมได้รับรู้ แต่ถ้าใช้เหตุผลเดียวกันและไม่เลือกปฏิบัติ วันนี้สื่อช่องต่างๆที่ขายความขัดแย้งและสร้างความแตกแยกให้กับสังคมต่างออกอากาศและนำเสนอข้อมูลอยู่จำนวนไม่น้อย ผมสงสัยว่าท่านนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร ทำไมไม่จัดการให้เด็ดขาดเหมือนที่ทำกับ Voice TV

การที่ฝ่ายรัฐปล่อยปละละเลยให้สื่อเลือกข้างนำเสนอ “Hate Speech” ได้อย่างเสรี แต่กลับควบคุมฝ่ายที่เห็นต่างอย่างเข้มงวด เป็นตัวอย่างชัดเจนของการสร้างความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากการกระทำของฝ่ายรัฐเอง แม้ไม่ได้เป็นผู้นำเสนอเองโดยตรง แต่การหลับตาทั้งสองข้างเพื่อให้มีการนำเสนอข้อมูลที่บิดเบือนและเป็นเท็จซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่มีการควบคุมทำให้สังคมเชื่อได้หรือไม่ว่าฝ่ายรัฐอยู่เบื้องหลังการสร้างความขัดแย้งเอง

วันนี้ถ้าทุกฝ่ายต้องการหาทางออกจากปัญหาของประเทศจริงๆต้องร่วมมือกัน ผมเชื่อในเจตนาดีของอดีตนายกฯทักษิณที่ประกาศ “หยุด” ก่อน เพราะจะยุติปัญหาความขัดแย้งได้จริงๆ ทุกฝ่ายต้องยอมถอย การถอยไม่ได้หมายถึงการยอมรับผิดหรือยอมรับความพ่ายแพ้ แต่เพื่อให้ทุกฝ่ายมีโอกาสหาทางออกของประเทศร่วมกัน

หลังจากนี้ใครก็ตามที่ชอบทำตัวเป็น “หมอผี” หลอกประชาชนเรื่อง “ผีทักษิณ” โปรดเลิกเถิดครับ อย่าหากินบนความทุกข์ยากของประชาชนอีกเลย ความขัดแย้งที่พวกท่านช่วยกันสร้างนั้นคือใบอนุญาตที่ทำให้ฝ่ายเผด็จการใช้เป็นข้ออ้างในการสืบทอดอำนาจ ที่ผ่านมาการหามเสลี่ยงให้เผด็จการนั่งนั้นกำลังทำให้คนไทยอดตายกันทั้งประเทศอยู่แล้ว หากรักประเทศและต้องการเห็นความปรองดอง พวกเราควรพร้อมใจกัน “หยุด” ซึ่งอดีตนายกทักษิณฯคือตัวอย่าง เพื่อให้ประเทศไทยมีโอกาสเดินหน้า ถ้าท่านคิดว่า “ใช่” มาร่วมมือกันดีกว่า

สิ่งที่ผมนำมาบ่นในสัปดาห์นี้ถือเป็นเรื่องสำคัญของประเทศ เพราะการปรบมือให้ดังต้องใช้มือทั้งสองข้าง ก่อนจบผมขออนุญาตนำบทความของ “พี่ไก่-วัฒนา เมืองสุข” ชื่อว่า “หยุดหากินกับทักษิณ” ที่โพสต์ในเฟซบุ๊คให้ได้อ่านกัน เพราะเกี่ยวข้องกันกับที่ผมเขียน ดังนี้

“ตามหมายกำหนดการ รัฐธรรมนูญจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2560 จากนั้นจะมีการเลือกตั้งทั่วไปภายในไม่เกิน 16 เดือน แต่ผมเชื่อว่าการเลือกตั้งคงเกิดขึ้นในราวต้นปี พ.ศ. 2561 หลังจากพระราชพิธีสำคัญเสร็จสิ้นลง

นับถึงวันเลือกตั้ง คสช. บริหารประเทศด้วยอำนาจเผด็จการรวม 4 ปี เท่ากับอายุของรัฐบาลปรกติ ผลงานคือการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจล้มเหลว ประชาชนทุกข์ยาก ใช้อำนาจตามอำเภอใจ ละเมิดสิทธิมนุษยชน สังคมแตกแยกมากขึ้น งบประมาณแผ่นดินถูกใช้เพื่อประโยชน์ของพวกพ้อง เช่น อนุมัติวันเวลาทวีคูณและสองขั้นให้กับทหาร ตำรวจ หรือนำไปซื้ออาวุธสงคราม แทนที่จะนำไปใช้เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชน กระบวนการยุติธรรมมีสองมาตรฐานและถูกใช้เป็นเครื่องมือจัดการฝ่ายตรงข้าม แต่ตัวเองและพวกพ้องไม่ถูกดำเนินคดี เช่น การทุจริตของ อผศ. เป็นต้น สถิติการโกงสูงขึ้น โดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติจัดอันดับของไทยในปี 2559 อยู่ลำดับที่ 101 จาก 176 ประเทศ คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย นี่คือผลงานของรัฐบาลที่อ้างตนเป็นคนดี เข้ามาเพื่อแก้ปัญหาของชาติและปราบโกง

นายกฯทักษิณถูกเผด็จการและบริวารหากินด้วยการใส่ร้ายป้ายสีเพื่อเป็นข้ออ้างในการยึดและสืบทอดอำนาจ แต่นายกฯทักษิณไม่เคยเป็นอุปสรรคต่อระบอบประชาธิปไตย เพราะเข้าสู่อำนาจด้วยการเลือกตั้ง บริหารประเทศโดยผ่านการตรวจสอบ ซึ่งมีทั้งฝ่ายค้าน สื่อมวลชน และองค์กรอิสระ รวมทั้งไม่มีอภิสิทธิ์ในทางคดีความ เพราะตัวท่านเอง ครอบครัว รวมทั้งนักการเมืองอย่างพวกผม ล้วนถูกไล่ล่าจนจะเอาตัวไม่รอด

ขนาดขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯยังถูกเผด็จการใช้อภินิหารเรียกเก็บภาษีอีกเกือบ 20,000 ล้าน แบบนี้ยังน่ากลัวอีกหรือ เผด็จการต่างหากที่เป็นปัญหาและน่ารังเกียจ ทำความเสียหายให้กับประเทศมหาศาล แต่ตรวจสอบไม่ได้ เพราะนิรโทษกรรมให้กับตัวเอง หนีความรับผิดชอบทั้งหมด เผด็จการจึงเป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศ ส่วนบริวารและพรรคการเมืองที่สนับสนุนก็ไม่ต่างกัน แต่จะเป็นพรรคใด ประชาชนคงพอมองออก ทรยศประชาชนแบบนี้เป็นผมไม่เหลือไว้ทำพันธุ์แน่นอน”


You must be logged in to post a comment Login