วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2567

คนโง่กับคนบ้า! / โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

On March 30, 2017

คอลัมน์ : โดนไป บ่นไป
ผู้เขียน : น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

อากาศเมืองไทยเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนพร้อมๆกับการเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ของปีระกา ปีนี้ร้อนจับจิตจริงๆ อุณหภูมิบางวันพุ่งสูงเกิน 40 องศา คงต้องรักษาสุขภาพและดื่มน้ำให้พอเพียง โดยเฉพาะท่านผู้อ่านสูงวัยทั้งหลายต้องระมัดระวังกันเป็นพิเศษ ที่ผ่านมาจะเห็นว่าน็อกกันไปหลายรายทีเดียว บางรายโชคดีช่วยทันก็รอด แต่รายที่ช่วยไม่ทันเสียชีวิตก็มี

จะเป็นที่อากาศร้อนเกินไปหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะเมืองไทยก็มีเหตุการณ์ร้อนๆเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผมนั่งเขียนต้นฉบับอยู่ขณะนี้ เงยหน้ามาก็เห็นข่าว กสทช. มีคำสั่งระงับการออกอากาศของสถานีโทรทัศน์ Voice TV เป็นเวลา 7 วัน ไม่แน่ใจว่าสาเหตุที่แท้จริงจะเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าวการวิสามัญฆาตกรรมเยาวชนชาวลาหู่ที่เป็นนักกิจกรรมหรือไม่

ต้องยอมรับว่าหลังจากมีการนำเสนอข่าวนี้ให้สังคมรับรู้ คนส่วนใหญ่ที่เคยมองข้ามการวิสามัญของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ต้องหันกลับมาติดตามข่าวนี้กันอย่างใกล้ชิด เพราะเรื่องราวต่างๆที่ทางทหารชี้แจงนั้นยังมีข้อพิรุธและน่าสงสัยในหลายประเด็นด้วยกัน

แม้ว่าผู้เสียชีวิตจะเป็นชนกลุ่มน้อย แต่ก็เกิดบนแผ่นดินไทย และเป็นเยาวชนที่ทำกิจกรรมเพื่อสังคมที่เขาอยู่มาโดยตลอด โดยเฉพาะการเรียกร้องให้ยอมรับสถานะของพวกเขาว่าเป็นคนไทยเหมือนกับเราๆท่านๆ ตลอดจนการต่อสู้กับเครือข่ายค้ายาเสพติดซึ่งแพร่ระบาดอยู่ในชีวิตประจำวันของสังคมที่พวกเขาต้องอาศัยอยู่

แม้คำให้การของเจ้าหน้าที่ทหารจะยืนยันชัดเจนว่าผู้เสียชีวิตมีการต่อสู้ขัดขืนและพยายามประทุษร้ายเจ้าหน้าที่ด้วยการ “วิ่งหนี” และ “ปาระเบิด” ใส่ จนเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ต้องตัดสินใจป้องกันตัวเองด้วยการใช้ปืนยิงเข้าด้านหลังผู้หลบหนีจนเสียชีวิต และจากการตรวจค้นยานพาหนะของผู้ตายหลังจากนั้นก็พบว่ามียาเสพติดลักลอบขนมาด้วยเป็นจำนวนมากก็ตาม แต่ก็ปรากฏเป็นข่าวอีกมุมหนึ่งเช่นเดียวกันว่า ผู้เสียชีวิตถูกเจ้าหน้าที่ทหารลากตัวลงมาซ้อมก่อนจะถูกยิงเสียชีวิตในเวลาต่อมา

ไม่ว่าความจริงที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร ใครถูกใครผิดก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีเรื่องจริงเพียงเหตุการณ์เดียวอย่างแน่นอน หลังจากนี้คงต้องปล่อยให้ผู้มีอำนาจดำเนินการสืบสวนสอบสวนตามพยานหลักฐาน ผมหวังว่าการอำนวยความยุติธรรมในเรื่องนี้ โดยเฉพาะขั้นตอนการแสวงหาความจริงจะถูกดำเนินการอย่างครบถ้วน

ไม่ว่าจะเป็นการสอบปากคำผู้เห็นเหตุการณ์ การสอบปากคำเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทุกคน จนถึงการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ต่างๆ และที่จะขาดไปไม่ได้เลยก็คือ “เหตุการณ์ที่ถูกบันทึกไว้โดยกล้องวงจรปิด” หากการดำเนินการทุกขั้นตอนครบถ้วนโปร่งใส ไม่ว่าผลการสอบสวนจะออกมาอย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าสังคมยอมรับได้แน่นอน แต่ที่สำคัญคือ “ฝ่ายที่ถูกสังคมตั้งคำถาม โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร” จะต้องถูกกันออกไปโดยเด็ดขาด ไม่เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม เนื่องจากเป็นฝ่ายที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง

ผมนำเรื่องนี้มาบ่นให้ฟังเพราะเชื่อว่ากระบวนการอำนวยความยุติธรรมของไทยมีระบบ ระเบียบ และขั้นตอนต่างๆชัดเจนอยู่แล้ว สิ่งที่ควรทำไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นขั้นตอนตามปรกติที่บัญญัติไว้ตามกฎหมาย ผู้บังคับใช้กฎหมายทั้งหลายเพียงแต่ดำเนินการให้เป็นไปตามแนวทางที่ถูกต้อง เรื่องนี้ก็น่าจะจบลงด้วยดีและไม่มีข้อกังขาจากสังคม

ที่ผ่านมาเราต้องยอมรับว่าการแสดงออกของผู้มีอำนาจที่รับผิดชอบเรื่องนี้หรือผู้เกี่ยวข้องต่างๆได้แสดงบทบาทที่ “เกินงาม” มาตลอดใช่หรือไม่ การแสดงท่าทีที่เกรี้ยวกราดต่อสื่อมวลชน นักสิทธิมนุษยชน ตลอดจนนักวิชาการที่ตั้งคำถามกับเรื่องนี้ เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุและสร้างความสงสัยเพิ่มให้กับสังคมใช่หรือไม่?

การออกมาให้ข้อมูลด้านเดียวถือเป็นการด่วนสรุปที่สร้างความเคลือบแคลงให้สังคม เพราะการใช้ข้อมูลของเจ้าหน้าที่ที่ถูกกล่าวหาว่า “ทำวิสามัญฆาตกรรมโดยเกินกว่าเหตุ” มาเป็นข้อมูลชี้แจงย่อมขัดแย้งกับ “ข้อเท็จจริงของฝ่ายที่เสียชีวิต” หรือแม้แต่ข้อมูลที่ออกมาจากเจ้าหน้าที่เองก็ยังขัดแย้งกัน โดยเฉพาะหลักฐานจากกล้องวงจรปิดที่ตำรวจกับทหารไม่ตรงกัน ฝ่ายหนึ่งบอกว่า “มี” แต่อีกฝ่ายบอกว่า “ไม่มี” แบบนี้จะไม่ให้ทุกคนตั้งคำถามได้อย่างไร

การออกมาแสดงความเห็นของผู้เกี่ยวข้องบางคนยิ่งแล้วใหญ่ ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ท่านพูดออกมาอยู่ในระเบียบปฏิบัติข้อไหน แน่นอนว่าเมื่อมี “เหตุอันควร” การระงับยับยั้งเหตุการณ์ด้วยการวิสามัญฆาตกรรมถือเป็นเรื่องปรกติที่ทำได้ แต่การแสดงความยิ่งใหญ่ว่าการวิสามัญฆาตกรรมครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทหารยิงเข้าทางข้างหลังครั้งละ 1 นัด ถือว่าเป็นการกระทำที่ละมุนละม่อมแล้ว เพราะจริงๆควรจะใช้ระบบการยิงแบบเป็นชุดหรือการยิงแบบ “ออโต้”

ผมในฐานะที่จบการศึกษาจากสถาบันหลักของทหารและรับราชการอยู่ในกองทัพมาก่อน ฟังทัศนคติแบบนี้แล้วต้องยอมรับว่า “หน้าชา” เหมือนกัน แม้ว่าผมจะไม่ได้รับราชการทหารแล้ว แต่ยังภาคภูมิใจในความเป็นทหาร และเชื่อว่าทหารส่วนใหญ่มีทัศนคติและการปฏิบัติที่ยึดตามธรรมเนียมประเพณี ระเบียบปฏิบัติ และกฎหมายอย่างเคร่งครัด การกระทำที่โหดร้ายป่าเถื่อนลุแก่อำนาจถือเป็นการกระทำที่ทหารจะไม่ปฏิบัติกับ “เพื่อนร่วมชาติ” เด็ดขาด

ทหารแม้จะเป็นผู้ที่ใช้อาวุธได้ตามกฎหมาย แต่การใช้อาวุธทุกครั้งต้องปฏิบัติตามระเบียบ ดังนั้น กระสุนทุกนัดที่ถูกยิงออกจากลำกล้องต้องถูกพิสูจน์ได้ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงธรรม ส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่าสถาบันทหารเป็นสถาบันที่มีระเบียบวินัย มีความรัก ความสามัคคี และรักพวกพ้อง หากพิสูจน์ได้ด้วยข้อเท็จจริงว่าเราไม่ผิด พวกเราทุกคนจะร่วมกันต่อสู้เพื่อปกป้องคนของเรา สถาบันของเรา

ในทางตรงกันข้าม ถ้าพิสูจน์ด้วยข้อเท็จจริงแล้วพบว่าคนของเรากระทำผิด พวกเราก็จะไม่ปกป้องผู้กระทำความผิดเช่นกัน ยอมให้กระบวนการอำนวยความยุติธรรมทำหน้าที่อย่างเต็มที่ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมแต่โดยดี

สถาบันทหารจะอยู่ได้ก็เพราะได้รับการยอมรับและความเชื่อถือจากประชาชน เมื่อไรก็ตามที่ประชาชนเกิดความสงสัยการกระทำที่ลุแก่อำนาจและเกินกว่าเหตุ มีการใช้อำนาจข่มขู่ ปิดหูปิดตาประชาชน กดหัวสื่อมวลชนที่นำเสนอข้อมูลความจริง สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดวิกฤตศรัทธาแก่ตัวสถาบันทหารเอง ซึ่งผมเชื่อว่าท่านผู้นำกองทัพจะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

อากาศร้อนๆแบบนี้ ยิ่งโหมไฟใส่กัน คนที่ทำก็คงมีแต่ “คนโง่กับคนบ้า” เท่านั้น!!


You must be logged in to post a comment Login