วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

‘ทักษิณ’(อีกแล้ว)!

On March 7, 2017

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

กลับมาเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจอีกครั้งกรณี การเรียกเก็บภาษีขายหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น 16,000 ล้านบาทจาก ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะหมดอายุความในสิ้นเดือนมีนาคมนี้

เรื่องนี้ยืดเยื้อมานาน และก่อนหน้านี้มีความพยายามจะเรียกเก็บภาษีส่วนนี้จากบุตรของดร.ทักษิณ แต่ติดที่คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีที่สั่งให้ยึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท ซึ่งในคำพิพากษาระบุชัดว่า ดร.ทักษิณ คือเจ้าของหุ้นตัวจริง จึงตีความได้ว่าดร.ทักษิณเป็นผู้มีรายได้จากการขายหุ้นทั้งหมดให้บริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ (พีทีอี) จำกัด จำนวน 73,000 ล้านบาท คำนวณภาษีได้ 16,000 ล้านบาทที่จะเรียกเก็บ

อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าการขายหุ้นชินคอร์ป เป็นการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีกฎหมายระบุชัดว่าจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามข้อ 2 (23) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร กรมสรรพากร

แต่ที่กระทรวงการคลังต้องนำเรื่องนี้กลับมาพิจารณาใหม่อีกรอบก่อนคดีหมดอายุความก็เพราะสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทำเรื่องมาให้เรียกจัดเก็บภาษีก่อนหมดอายุความ ซึ่งสตง.ยืนยันว่าจะต้องเรียกเก็บภาษีจากบุตรของดร.ทักษิณ และชี้ว่าคำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ว่าดร.ทักษิณเป็นเจ้าของทรัพย์ที่แท้จริงนั้นเป็นคนละส่วนกับภาษีที่ให้เรียกเก็บจากบุตรคือ พานทองแท้ และ พินทองทา ชินวัตร เพราะกรณีนี้เป็นการเรียกเก็บภาษีจากการที่ทั้งสองคนซื้อหุ้นจากดร.ทักษิณในราคาต่ำกว่าราคาในตลาดหลักทรัพย์

แม้ก่อนหน้านี้กรมสรรพากรจะเคยสรุปว่าไม่สามารถดำเนินการได้ แต่เมื่อ สตง.ทำหนังสือมาก็ต้องรีแอ็คชั่นขุดเรื่องกลับมาพิจารณากันใหม่อีกรอบ เพราะหากไม่ดำเนินการจะถูกฟ้องร้องฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ได้

ประเด็นที่ต้องพิจารณาสำหรับเรื่องนี้คือเงินภาษีที่จะเรียกเก็บนั้นได้รวมอยู่ในเงิน 46,000 ล้านบาทของดร.ทักษิณ ที่ถูกยึดตามคำสั่งศาลและได้ตกเป็นของแผ่นดินไปแล้ว หากจะเรียกเก็บซ้ำอีกต้องติดตามว่าจะพลิกแพลงกันอย่างไร เพื่อให้เก็บได้มากกว่าคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ต้องติดตามว่ากรมสรรพากรจะยังยืนยันในหลักการเดิมคือเรื่องจบไปตามคำพิพากษาของศาลแล้ว หรือว่ามีแรงกดดันใดให้ต้องเรียกเก็บภาษีอีก 16,000 ล้านบาท ซึ่งถ้าจะเก็บจริงต้องมากกว่านี้เพราะต้องบวกดอกเบี้ยเข้าไปด้วย

เรื่องนี้แม้จะมีคำพิพากษาชัดเจนแล้ว ทั้งกรณียึดทรัพย์ดร.ทักษิณ กรณีโอนหุ้นให้ลูกและคนอื่นๆในราคาพาร์ 1 บาท และมีกฎหมายรองรับการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ถ้าตีธงว่าต้องเอาให้ได้ก็คงสามารถดิ้นสามารถพลิกแพลงกฎหมายจนสามารถเรียกเก็บภาษีได้

Amazing Thailand มีเรื่องน่าประหลาดใจเกิดขึ้นได้เสมอ


You must be logged in to post a comment Login