วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2567

น้ำมันสาดในกองไฟ!!?? / โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

On February 23, 2017

คอลัมน์ : โดนไป บ่นไป
ผู้เขียน : น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

สัปดาห์ที่ผ่านมาเมืองไทยมีประเด็นสำคัญหลายเรื่องที่ชวนให้ติดตาม โดยเฉพาะการออกมาชุมนุมคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินของจังหวัดกระบี่ที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งในที่สุดฝ่ายรัฐก็ยินยอมเจรจาและยอมถอย 1 ก้าว เพื่อให้ผู้ชุมนุมหยุดการประท้วงเพื่อหาทางออกร่วมกัน ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี และอาจเป็นครั้งแรกก็ได้ที่รัฐบาลทหารยอมปฏิบัติตามคำเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม เพราะก่อนหน้านี้รัฐเลือกที่จะใช้กำลังในการยุติปัญหามากกว่า

ผมสนับสนุนแนวทางสันติวิธีและขอร่วมเชียร์ทุกท่านที่เลือกใช้วิธีนี้ บ้านเมืองของเราวุ่นวายไม่รู้จักจบสิ้นก็เพราะหลายฝ่ายไม่ยอมหันหน้ามาคุยกัน เอะอะก็จะใช้กำลังบังคับกันท่าเดียว ใครจะเดือดร้อนหรือโดนหางเลขไปด้วยเท่าไรก็ไม่สน ล่าสุดการสนธิกำลังของตำรวจ-ทหารเพื่อเข้าตรวจค้นวัดพระธรรมกายก็เป็นอีกกรณีหนึ่งที่มีผู้เดือดร้อนอยู่ไม่น้อยทีเดียว

การใช้กำลังเข้าตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาถือเป็นอำนาจตามกฎหมายที่ผู้รับผิดชอบต้องดำเนินการและหากปฏิเสธก็อาจโดนข้อหาละเว้นได้เช่นกัน แต่การกระทำดังกล่าวก็ควรจะใช้ตามอำนาจที่มีเท่านั้น โดยปรกติการตรวจค้นบุคคลตามหมายจับในสถานที่ต่างๆ ถ้าพบก็ควบคุมตัวไปสอบสวน ถ้าไม่พบก็ต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการในขั้นตอนต่อไปอย่างไร

สำหรับการตรวจค้นวัดพระธรรมกายเท่าที่ผมติดตามจากข่าวที่สื่อมวลชนนำมาเสนออย่างละเอียด พบว่าในช่วงแรกของการตรวจค้นมีการนำกำลังเข้าไปปฏิบัติการเป็นจำนวนมาก อาจมีความเข้าใจผิดและมีการกระทบกระทั่งกันอยู่บ้าง เพราะพระสงฆ์และญาติโยมในวัดอาจไม่พอใจการปฏิบัติบางอย่างของเจ้าหน้าที่ และเจ้าหน้าที่เองก็มุ่งมั่นที่จะปฏิบัติภารกิจของตนให้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม สุดท้ายทางวัดก็ยอมให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปปฏิบัติหน้าที่แต่โดยดี แม้ในที่สุดการตรวจค้นจะไม่พบผู้ที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใดก็ตาม

เรื่องที่ผมนำมาบ่นให้ฟังอยู่ตรงนี้แหละครับ เพราะหลังจากการเข้าตรวจสอบตามหมายค้นและไม่พบตัวผู้ถูกกล่าวหา ทำไมจึงไม่มีการสั่งยกเลิกการปฏิบัติ ท่านผู้นำสูงสุดกลับใช้อำนาจตามมาตรา 44 สั่งปิดล้อมวัดพระธรรมกายและพื้นที่โดยรอบ ทำให้พื้นที่แถวนั้นกลายเป็นเขตควบคุมพิเศษไป การทำแบบนี้นี่แหละที่นักวิชาการจำนวนมากไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะเท่ากับเป็นการติดดาบและเพิ่มอำนาจที่ไร้ขอบเขตให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ การให้ไฟเขียวแบบนี้อาจเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้มีการใช้ความรุนแรงได้ง่ายมากขึ้น

ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ย่อมเห็นด้วยกับการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการดำเนินการกับทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรม แต่การใช้กฎหมายพิเศษไปปะทะกับความเชื่อความศรัทธาของมวลชนจำนวนมากในสถานที่ของเขาจะเหมือนกับการนำน้ำมันสาดเข้าไปในกองไฟหรือเปล่า!!!

ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แม้ว่าท่านจะมีอำนาจพิเศษจากกฎหมายที่เขียนขึ้นเองก็ตาม แต่ไม่ได้หมายความว่าอยากจะทำอะไรก็กระทำได้ตามอำเภอใจ หรือทำโดยไม่ต้องคำนึงถึงผลเสียที่อาจจะตามมาในภายหลัง

ผมเป็นพุทธศาสนิกชนเหมือนกับคนไทยอีก 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ และสนับสนุนแนวทางการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐได้สั่งสอนเอาไว้เมื่อ 2,000 ปีเศษมาแล้ว ดังนั้น เมื่อการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ที่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชามีการกระทำที่ไม่เหมาะสมกับลูกศิษย์ของพระตถาคต หรือมีการขัดขืนการเข้าตรวจค้นของญาติโยมที่มีความศรัทธาต่อวัดพระธรรมกาย เมื่อมีการนำเอาภาพและพฤติกรรมเหล่านี้มาแชร์กันในโลกออนไลน์อย่างกว้างขวาง ก็ต้องเรียนตามตรงว่าไม่ค่อยสบายใจและเป็นห่วงจริงๆครับ

การใช้กำลังเข้ากดดันของเจ้าหน้าที่รัฐด้วยการปิดล้อม แม้จะเป็นยุทธวิธีที่ดีกว่าการใช้กำลังเข้าจู่โจมก็ตาม แต่ทว่าเมื่อนำมาใช้กับสถานที่ซึ่งเป็นศาสนจักร การปฏิบัติการเช่นนี้ก็ทำให้เกิดสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะวัดเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาและเป็นที่อยู่ของพระสงฆ์ เมื่อมีการใช้กำลังเข้าปิดล้อม การปฏิบัติศาสนกิจต่างๆจึงกระทำได้ยากลำบาก

จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏ การไม่อนุญาตให้พระสงฆ์ที่ออกมาบิณฑบาตกลับเข้าไปในวัด หรือการห้ามไม่ให้พระสงฆ์ออกมาจากวัด ถือเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุหรือไม่ เรื่องนี้คงมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ในมุมมองของคนที่นับถือศาสนาพุทธอย่างผมคิดว่าการสั่งการเช่นนี้มันออกจะเกินไปหรือเปล่า!!!

เพราะการปฏิบัติศาสนกิจเป็นหน้าที่ของพระสงฆ์ เมื่อท่านใช้กำลังเข้าตรวจค้นแล้วยังไม่พบผู้ถูกกล่าวหา แต่กลับไปกำหนดมาตรการอื่นๆเพิ่มเติมจนกระทบกับทั้งพระสงฆ์และฆราวาสรอบๆวัดจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามกิจวัตรประจำวันของตัวเองได้ ต้องเดือดร้อนกันถ้วนหน้า ทำแบบนี้ผมไม่แน่ใจว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือไม่ และจะทำให้ค้นพบผู้ถูกกล่าวหาได้อย่างไร

ที่สำคัญคืออำนาจพิเศษจากมาตรา 44 ควรเป็น “เครื่องมือล้ำค่า” ที่ท่านผู้นำสูงสุดใช้สำหรับการลดความขัดแย้งและสร้างความปรองดองไม่ใช่หรือ? เพราะตอนที่ท่านปฏิวัติยึดอำนาจไปจากประชาชน ท่านใช้เรื่องดังกล่าวเป็นเหตุผลสำคัญในการทำรัฐประหาร ดังนั้น อำนาจพิเศษนี้ท่านควรใช้เพื่อให้เกิดความสามัคคีและสร้างความสงบสุขให้กับประเทศและคนในชาติมากกว่าการใช้อำนาจดังกล่าวสร้างความวุ่นวายและความหวาดกลัวให้กับสังคมอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้

ผมเชื่อว่าประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อวัดพระธรรมกายไม่ได้แตกต่างอะไรกับประชาชนที่ออกมาชุมนุมเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพราะทุกท่านย่อมเชื่อว่าตนเองมีสิทธิที่จะลุกขึ้นมาปกป้องสิ่งที่ตนรักและหวงแหน ดังนั้น การจัดการกับปัญหาที่แตกต่างกันแบบหน้ามือเป็นหลังมือของท่านผู้มีอำนาจจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคำครหาว่ามีการเลือกปฏิบัติหรือไม่? เรื่องนี้ผมคงไม่ต้องฟังคำตอบจากใครทั้งสิ้น เพราะการกระทำได้พิสูจน์เจตนาออกมาอย่างชัดเจนแล้ว

ท้ายนี้ด้วยความรักและหวังดี ผมเพียงต้องการเตือนสติผู้เกี่ยวข้องทุกท่านว่า การลุแก่อำนาจและการใช้อำนาจที่พร่ำเพรื่อจะไม่ส่งผลดีกับผู้ใช้ ทุกครั้งที่ใช้อำนาจ อำนาจก็จะเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ วันนี้ท่านอาจใช้มันอย่างได้ผล แต่ในอนาคตยังไม่มีใครทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น ถ้านโยบายปรองดองจากรัฐบาลเป็นเรื่องจริง ผมก็อยากเรียกร้องให้ลดละเลิกการใช้อำนาจล้นฟ้าเช่นนี้ไปกระทำย่ำยีกับสิทธิและความเชื่อถือศรัทธาของประชาชน เพราะการใช้อำนาจแบบนี้ย่อมเป็นอุปสรรคโดยตรงต่อการปรองดอง “นอกเสียจากพวกท่านจะไม่อยากให้มีการปรองดองเกิดขึ้นจริงๆก็ใช้มันต่อไปก็แล้วกัน”


You must be logged in to post a comment Login