วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

อย่าให้เสียของ

On December 8, 2016

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

แม้จะถูกค่อนแคะว่าเบียดบังเวลาราชการ กระทบต่อการบริการประชาชนแต่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ยังชิวๆสบายๆ เดินหน้านโยบายให้ข้าราชการออกกำลังกายทุกบ่ายแก่ๆ ของวันพุธต่อไป โดยขอว่าอย่านำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นโจมตีกัน

อาการชิวๆ สบายๆ ไม่ยี่หระกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจว่าไม่มีอะไรกระทบ ยังมีแรงหนุนให้เดินหน้าทำงานต่อ และดูเหมือนว่าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างนั้น เพราะเรื่องเอาเวลาราชการไปออกกำลังกายควรจะเป็นประเด็นดราม่าในสังคมได้มากกว่านี้ แต่ไฟก็ไม่โหมลุกลามอย่างที่ควร

นั่นแสดงว่าแรงสนับสนุนรัฐบาล “บิ๊กตู่” ยังอยู่ในเกณฑ์ดี

อย่างไรก็ตาม แม้แรงหนุนยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่ท่านผู้นำก็ไม่ควรทิ้งนาทีทองที่จะปรับเปลี่ยนรีเฟรชโฉมหน้ารัฐบาลใหม่ให้กลับมามีชีวิตชีวาในการทำงานมากขึ้น ก่อนที่จะลงจากอำนาจ

การปรับคณะรัฐมนตรี เป็น “บิ๊กตู่ 4” จึงควรมีการปรับเปลี่ยนมากกว่าการหาคนมาทำงานแทนรัฐมนตรี 2 คน ที่ต้องละทิ้งเก้าอี้ไปรับตำแหน่งองคมนตรี

ดูจากอาการไม่รีบเร่งที่จะปรับเปลี่ยนของท่านผู้นำ ก็ดูเหมือนว่าต้องการเวลาพิจารณาอย่างรอบคอบ วันนี้จึงมอบหมายให้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีไปรักษาการในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อีกตำแหน่งที่ว่างก็มอบให้ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการขึ้นรักษาการในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไปก่อน

การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ นอกจากหาคนมาทำงานแทน 2 ตำแหน่งที่ว่าแล้วก็จะมีความชัดเจนในส่วนของกระทรวงเกิดใหม่ อย่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ที่ขณะนี้ใช้วิธีรักษาการอยู่ และที่เป็นข่าวมานานคือหาคนมาช่วย พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ทำงานในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ในทางการเมืองนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่างานใหญ่อย่างปรับคณะรัฐมนตรีหากไม่ทำเร็วจะเปิดให้มีการวิ่งเต้นเพื่อเก้าอี้ ขอสลับปรับเปลี่ยนหรือขอให้เอาคนนั้นออก เอาคนนี้เข้า

แม้รัฐบาลที่มาจากรัฐประหารจะมีความพิเศษกว่ารัฐบาลจากการเลือกตั้ง เพราะท่านผู้นำมีอำนาจเบ็ดเสร็จทำให้การต่อรองหรือวิ่งเต้นทำได้ยาก ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้น

การทอดเวลาปรับคณะรัฐมนตรีออกไปอาจทำเพื่อใช้เวลาพิจารณาอย่างรอบคอบ รอบด้าน เพราะนี่อาจเป็นการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งสุดท้ายในรัฐบาลนี้ ถ้าพิจารณาแล้วจำเป็นต้องปรับใหญ่ก็อาจถือโอกาสรื้อไปในครั้งเดียว

มีข้อแนะนำจาก นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่าแม้จะคาดหวังให้การทำงานของรัฐบาลดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ไม่ได้หลังการปรับเปลี่ยน เพราะเหลือเวลาอยู่ในอำนาจน้อย แต่ก็อยากให้มีการปรับเปลี่ยนคนรับผิดชอบด้านเศรษฐกิจใหม่

“อยากฝากพล.อ.ประยุทธ์ว่า เมื่อต้องปรับคณะรัฐมนตรีในตำแหน่งของรัฐมนตรีทั้ง 2 คนแล้วก็น่าจะนำคนที่มีฝีมือด้านเศรษฐกิจมาเป็นรองนายกรัฐมนตรีดูแลด้านเศรษฐกิจแทน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี หรือหาคนมาแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งน่าจะทำให้เศรษฐกิจของเราดีขึ้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ว่าจะคิดเห็นอย่างไร แต่ประเด็นที่ควรคำนึงถึงคือ บางท่านที่มีความสามารถก็ไม่อยากเอาตัวเองมาเสี่ยงกับระยะเวลาสั้นๆที่เหลืออยู่นี้”

สิ่งที่ นายสุรพงษ์ พูดออกมานั้นน่าคิดในสองประเด็น

หนึ่ง คือควรยกเครื่องทีมเศรษฐกิจใหม่ เพราะสภาพเศรษฐกิจทุกวันนี้เป็นอย่างไรทุกคนต่างรู้ดี

สอง คืออาจหาคนดีมีฝีมือเข้ามารับงานยาก เพราะเมื่อมองจากระยะเวลาการทำงานที่เหลืออยู่ตามโรดแม็ป เข้ามาแล้วอาจทำอะไรไม่ได้มาก จะเป็นการเอาชื่อมาทิ้งเสียเปล่าๆ

อย่างไรก็ตาม เรื่องอำนาจและเกียรติยศนั้นไม่เข้าใครออกใคร หากคิดจะปรับแบบรื้อใหญ่ เชื่อว่าจะหาขุนอาสาเข้ามาทำงานได้ไม่ยาก อยู่ที่ว่าคนที่เสนอตัวจะมีคุณสมบัติถูกใจท่านผู้นำหรือไม่เท่านั้น

หากคิดจะปรับใหญ่เพื่อเติมความสดให้รัฐบาลลองแย้มประตูเข้าสู่อำนาจดู เชื่อว่าจะมีคนเสนอหน้าให้เลือกใช้งานเพียบ

ไหนๆก็ไหนๆ เมื่อที่ทำงานกันอยู่เข้าขั้นหมดสภาพทำไปวันๆ การปรับใหญ่ให้ประชาชนรู้สึกว่ามีอะไรใหม่ๆบ้าง ให้ประชาชนมีความหวังบ้าง น่าจะเป็นทางออกที่ดี และไม่เสียของ


You must be logged in to post a comment Login