วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ผลพวงรัฐประหาร? / โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

On September 22, 2016

คอลัมน์ : โดนไป บ่นไป
ผู้เขียน : น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

ผมนั่งเขียนคอลัมน์ “โดนไปบ่นไป” ของสัปดาห์นี้ในวันที่ 19 กันยายนพอดี ทุกท่านคงจำได้ว่าวันนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้น ได้นำกำลังทหารเข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลเลือกตั้งที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี

ทบทวนเหตุการณ์กันสักนิด ในช่วงค่ำวันที่ 19 กันยายน 2549 พล.อ.สนธิพร้อมผู้บัญชาการทหารทุกเหล่าทัพในนามคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ชื่อย่อว่า “คมช.” ได้ประกาศยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลทักษิณ ถือเป็นการรัฐประหารที่เกิดขึ้นหลังจากห่างหายไปนานกว่า 15 ปี

ก่อนการรัฐประหารครั้งนี้ วิกฤตทางการเมืองได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากเป็นรอบที่ 2 และเข้มข้นมากขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายน 2548 โดยจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อการเลือกตั้งทั่วไปที่จัดในวันที่ 2 เมษายน 2549 ถูกประกาศให้เป็นโมฆะ แม้จะมีการกำหนดการเลือกตั้งใหม่ในเดือนตุลาคม แต่สุดท้ายก็ไม่มีการเลือกตั้ง เพราะมีการรัฐประหารขึ้นก่อน

พล.อ.สนธิเคยให้สัมภาษณ์ว่า ใช้เวลาในการเตรียมการรัฐประหารทั้งสิ้น 7 เดือน หมายความว่าแกนนำรัฐประหารต้องเริ่มประชุมวางแผนกันตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2549 ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเปิดตัวขึ้นอย่างเป็นทางการ

ผมจำได้ว่า พล.อ.สนธิให้สัมภาษณ์ยืนยันชัดเจนกับสื่อมวลชนว่าทหารจะไม่ปฏิวัติอย่างเด็ดขาดในช่วงเดือนพฤษภาคมปีเดียวกันนั้น แต่พอเดือนกรกฎาคม พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ซึ่งยังเป็นนายทหารของกองทัพ ก็ออกมาโจมตีรัฐบาลของตนเองว่า การเมืองไทยอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐานและมีผู้นำที่อ่อนแอ นอกจากนั้นยังส่งสัญญาณชัดๆแบบใครฟังก็ไม่ต้องคิดว่าประเทศไทยมีระบอบประชาธิปไตยที่ไม่ถูกต้อง

นอกจากนั้นยังมีการโยกย้ายนายทหารระดับผู้บังคับหน่วยกำลังนอกฤดูกาล ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดสังเกต รวมถึงการเข้าจับกุมนายทหารกองทัพบก 5 นาย ซึ่งมีตำแหน่งในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน โดยตำรวจที่ทำการจับกุมพบว่า นายทหารกลุ่มนี้ได้นำระเบิดซุกซ่อนในรถในลักษณะเตรียมทำคาร์บอมบ์ โดยเชื่อว่ามีเป้าหมายอยู่ที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งต่อมาผู้ต้องหา 3 ใน 5 ก็ถูกปล่อยตัวภายหลังการรัฐประหาร

แน่นอนว่าคณะรัฐประหารได้ฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ทิ้งตามธรรมเนียมปฏิบัติ รัฐสภาโดนคำสั่งยุบทั้งหมด การเลือกตั้งซึ่งกำหนดในเดือนตุลาคมถูกยกเลิก มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก ห้ามไม่ให้มีการประท้วงและจัดกิจกรรมทางการเมือง นอกจากนั้นยังมีการควบคุมตัวคณะรัฐมนตรีอีกหลายคน โดยหลังการรัฐประหาร พล.อ.สนธิให้คำมั่นกับพี่น้องประชาชนว่าจะฟื้นฟูรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตยภายใน 1 ปี

สาเหตุที่คณะรัฐประหารใช้กล่าวอ้างในการยึดอำนาจก็คล้ายๆกับการรัฐประหารทุกครั้งที่ผ่านมา โดยสาระสำคัญได้แก่ การทุจริตคอร์รัปชันและผลประโยชน์ทับซ้อน การใช้อำนาจในทางมิชอบ การละเมิดจริยธรรม คุณธรรมของผู้นำประเทศ การแทรกแซงระบบการตรวจสอบทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ ข้อผิดพลาดเชิงนโยบายที่นำไปสู่การละเมิดสิทธิเสรีภาพ และการบ่อนทำลายความสามัคคีของคนในชาติ

แม้การรัฐประหารของ คมช. จะไม่มีการเสียเลือดเนื้อ แต่ก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบเชิงลบและมีการวิพากษ์วิจารณ์จากหลายประเทศ เช่น ประเทศในสหภาพยุโรปและออสเตรเลีย โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาแสดงความผิดหวังอย่างชัดเจนและกล่าวว่าการรัฐประหารที่เกิดขึ้นไม่มีเหตุผลที่ยอมรับได้ ตรงข้ามกับจีนที่แสดงความเป็นกลางต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ผมนำเรื่องเก่า 10 ปีที่แล้วมาบ่นให้ฟัง เพราะเชื่อว่าบริบททางการเมืองของประเทศไทยไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ให้ดีจะเห็นว่า แม้การรัฐประหารแต่ละครั้งจะไม่ค่อยมีการเสียเลือดเนื้อ เพราะเพียงแค่ทหารลากรถถังออกมาเมื่อไรก็ยึดอำนาจได้สำเร็จแทบจะทุกครั้ง และบางครั้งประชาชนยังออกมาสนับสนุนนำดอกกุหลาบไปมอบให้ทหารด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้นเอง

ภาพที่ประชาชนออกมาแสดงความยินดีกับทหารนั้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากการจัดตั้งหรือจากความนิยมชมชอบอย่างจริงใจก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนส่วนใหญ่ที่ไม่ชื่นชมและไม่เห็นด้วยเลย เพราะภายหลังการรัฐประหารได้ถูกพิสูจน์มาครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ผลของมันไม่เคยทำให้พี่น้องประชาชนส่วนใหญ่และประเทศชาติของเราดีขึ้นแม้แต่น้อย

ผมเขียนแบบนี้ย่อมมีคนไม่เห็นด้วยและบางคนอาจแอบด่าในใจว่ามีอคติ โดยเฉพาะเพื่อนข้าราชการที่รักบางคนของผมที่เคยเถียงกันมาตลอดว่าการรัฐประหารต่างหากที่เป็นของดี เพราะทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ไม่วุ่นวาย ซึ่งเรื่องนี้ผมก็เถียงเพื่อนไม่ขึ้นจริงๆเหมือนกัน

เนื่องจากคงมีเพียงรัฐบาลทหารเท่านั้น (จริงๆ) ที่มีอำนาจใช้กฎหมายพิเศษต่างๆในการควบคุมประชาชนให้อยู่ในระเบียบวินัย อนุญาตให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกที่จำกัด และสามารถละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของทุกคนในประเทศนี้ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งแน่นอนว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของพี่น้องประชาชนไม่สามารถทำเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน

แต่เรื่องอื่นๆนอกเหนือจากเรื่องนี้ เพื่อนๆก็เถียงผมไม่ขึ้นเช่นกัน เพราะรัฐประหารทีไรสภาพเศรษฐกิจของประเทศก็ย่ำแย่ลงทุกครั้ง และกว่าจะฟื้นตัวก็ต้องรอให้รัฐบาลเลือกตั้งเข้ามาแก้ปัญหาให้ทุกที ท่านผู้อ่านที่ไม่ใช่ข้าราชการคงรู้ซึ้งถึงพิษเศรษฐกิจตกต่ำ และไม่ต้องการให้สภาพขาลงเช่นนี้อยู่ต่อเนื่องยาวนานอย่างแน่นอน

เพราะไม่ว่าท่านจะเป็นเจ้าของธุรกิจ ลูกจ้าง ผู้ใช้แรงงาน พนักงานออฟฟิศ หรือเป็นใครก็ตาม ย่อมได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ดิ่งเหวแบบนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ผมเคยบ่นให้ฟังก่อนหน้านี้หลายครั้งว่า ปัญหาเศรษฐกิจไม่ใช่เพียงเรื่องของปากท้องเท่านั้น แต่ถือเป็นรากเหง้าของอีกหลายปัญหา โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นต่อสังคม

ความอดอยากแร้นแค้นเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดปัญหาต่างๆตามมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตั้งแต่ปัญหาอาชญากรรม ลักชิงวิ่งราว ปล้น ไล่เรียงจนถึงสวัสดิภาพในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน ยังไม่นับปัญหาอบายมุขต่างๆทั้งการพนันและยาเสพติดที่ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับปัญหาเศรษฐกิจปากท้องทั้งสิ้น

คราวที่แล้ว “บิ๊กบัง” อยู่ปีกว่าๆยังมีเรื่องบ่นกันไม่เลิก คราวนี้ “บิ๊กตู่” จะอยู่ยาวนานกว่ารัฐบาลเลือกตั้งเสียอีก ถึงตอนสุดท้ายไม่รู้ว่าจะเหลือกันสักกี่คนที่ยังหายใจได้อยู่ แต่ทำไงได้ “เกิดเป็นคนไทยต้องมีใจอดทน” ครับ


You must be logged in to post a comment Login