วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2567

“โกรธ-เกลียด-ชัง” เป็นภัย

On November 25, 2020

คอลัมน์ : สำนักข่าวพระพยอม

ผู้เขียน : พระพยอม กัลยาโณ

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 25 พ.ย. 63)

สิ่งที่เราคาดคิด และวิงวอนว่า อย่าเกิดๆ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า มันจะต้องรุนแรง เพราะอารมณ์คนอยู่ค้างนานหลายวัน อารมณ์บูด อารมณ์เน่า อารมณ์เสีย มันก็ย่อมจะมีมากขึ้นตามวันเวลาที่มันบ่มเพาะ อะไรที่มันบ่มไว้นานๆเข้ามันก็จะมีคำว่า “ถึงจุดระเบิด” จุดนั้นก็ได้มาถึงแล้ว เพราะสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มมีการเลือดตกยางออกกันบ้างแล้ว โดยเฉพาะเขาบอกว่า กลุ่มเสื้อเหลืองถูกรุมยำจากชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่ง ดูแล้วก็เลือดเต็มหน้า

แต่ไม่รู้จะสักแค่ไหน ขนาดไหน อย่างไรที่ทำให้รู้สึกว่า เอาแล้ว เข้าโหมดรุนแรงได้แล้ว ไหนว่า ไม่รุนแรง ชุมนุมอย่างสันติ อสิงสา นั่นเป็นคำพูด แต่อารมณ์คนเวลามันเดือด มันพูดไม่ได้ ถึงได้ขว้างปาสิ่งของใส่กันจนกระทั่งบาดเจ็บ แต่ยังไม่ถึงขั้นล้มตาย แค่เลือดตกยางออกก็ต้องถือว่า มันก็หนักหนาสาหัสอยู่ล่ะ ถ้ายังปล่อยให้เวลาชุมนุมอยู่นาน รัฐบาลที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอยู่ไม่ได้ ประชาชนก็เรียกว่า เราบอกว่า เขาดื้อ เขาบอกว่า เขาไม่ดื้อ

แต่หลวงพ่อพุทธทาส บอกว่า ไม่ดื้ออย่างเดียว ทุกอย่างดีหมด เขตนั้นเขาบอกไม่ให้เขา ตรงนั้นก็ไม่ถึง ห่างเท่านั้น เท่านี้ เมื่อมีคนดื้อเข้ามา จะว่า ดื้อหรือจะว่าอย่างไรดี แต่เขาบอกว่า รุก ก้าวหน้า ยกระดับ ก้าวหน้า ไม่มีคำว่า ถอย ไม่มีคำว่า หมด แต่แล้วไปๆมาๆสิ่งที่เราคิดว่า แน่นอนที่สุดก็คือ ความเจ็บ มีบาดแผล มีเลือดตกยางออก เพราะอารมณ์คนที่อยู่นานเข้าๆ มักจะถึงจุดหนึ่ง จุดที่เรียกว่า ปะทุเดือด ปะทะเดือด ส่วนจะถึงเลือดพล่านหรือไม่ ก็ต้องคอยดูติดตามตอนต่อไป

แต่อาตมาขออย่างเดียว คือ ขออย่างที่ท่านพระมหาไพรวัลย์ บอกว่า อย่าได้ใช้ความรุนแรง เพราะความรุนแรงนั้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะร้ายกาจถึงขนาดที่เรียกกันว่า ถ้าไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ จะถึงขั้นเยื้อชีวิตกันไม่อยู่ มีผู้ที่ต้องสังเวยชีวิต มันก็น่าคิดนะ อยู่ๆก็จุดไฟสงครามกลางเมืองกันขึ้น โดยฝ่ายไหนก็แล้วแต่ที่เริ่มต้น ต้องเรียกว่า ฝ่ายนี้อย่าได้แต้ม อย่าได้รับความนิยมเลยมาใช้ความรุนแรงก่อน

แต่ก็ต้องดูว่า เป็นมือที่สามหรือเปล่าที่อยากจะสร้างสถานการณ์ให้มันเกิด เรียกว่า อยู่ข้าง ไปข้างหนึ่ง คือ ไม่อยากอยู่ด้วยกันแล้ว เพราะอยู่ด้วยกันแล้วมันเห็นหน้าแล้วเกิดอาการหมั่นไส้ เกลียดชัง นี่แหละ เขาบอกมีสุข เพราะหมดเกลียด ถ้ามีแต่เกลียดกัน ก็หมดสุขไปตามๆกัน ดังนั้น ก็ขอให้ความเกลียดชังมันค่อยๆละลายหายไปกับคำว่า เราเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่ เจ็บตายกันทั้งหมด ทั้งสิ้น

เราไม่ได้เป็นข้าศึกกันมาตั้งแต่เกิด เป็นเด็กก็สบายดี ทะเลาะกันบ้าง เดี๋ยวเดียวก็ดีกันใหม่ แต่ผู้ใหญ่กับเด็กทะเลาะกันคราวนี้ไม่รู้ว่า เมื่อไรจะดีกันได้ อาตมาก็หวังแต่เพียงว่า ดีกันไวๆนะ ประเทศไทยจะได้ก้าวหน้า พัฒนาต่อไป ถ้ายังไม่ดีกัน แต่จะตีกันตะพึดตะพือ มันก็ต้องเรียกกันว่า ดื้อจนเดือด ถ้าต่างฝ่ายต่างดื้อก็เจอคำว่า เดือดดาล เลือดพล่านเข้าสักวันที่เขาจะเห็นว่า มันไม่น่ามาถึงจุดนี้เลย

เรียกว่า คนไทยด้วยกันไม่น่าจะเป็นแบบนี้เลย ก็ขอให้สังวรนึกไว้ว่า ความเกลียด โกรธชัง การทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นภัย ไม่ได้เป็นพร เป็นศีล เป็นธรรมอะไรเลย

 

เจริญพร

 


You must be logged in to post a comment Login