วันพฤหัสที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2567

เบลอ วูบบ่อย…เสี่ยงโรคลมชักแบบไม่ทันตั้งตัว

On January 10, 2020

คอลัมน์ : โลกสุขภาพ

ผู้เขียน : พญ.รับพร ทักษิณวราจาร โรงพยาบาลพระรามเก้า

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่  10-17 มกราคม 2563)

จากสถิติของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พบว่าปัจจุบันคนไทยป่วยเป็นโรคลมชักหรือลมบ้าหมูประเภทที่ไม่มีอาการชักเกร็งมากถึง 650,000 คน แต่ได้รับการรักษาน้อยเพียง 1 ใน 10 ของประชากรทั้งประเทศ ถือว่าเป็นภัยเงียบที่สามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย ซึ่งมีอาการเบลอ เหม่อลอย ตาค้าง วูบบ่อย โดยอาการเหล่านี้ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากเสี่ยงต่อการเกิดโรคลมชักหรือลมบ้าหมูแบบไม่ทันตั้งตัวได้ หากไม่ได้รับการรักษาและปล่อยให้มีอาการลักษณะนี้บ่อยๆอาจส่งผลให้เป็นโรคสมองเสื่อมไว และส่งผลให้ป่วยเป็นโรคทางจิตเวชซ้ำซ้อนตามมาได้ถึงร้อยละ 30

โรคลมชัก หรือ Epilepsy หรือที่คนไทยเรียกว่าลมบ้าหมู จัดเป็นโรคของการเจ็บป่วยทางสมอง พบได้ทุกเพศทุกวัย นอกจากพบในผู้ป่วยที่มีการบกพร่องทางสติปัญญาหรือโรคออทิสติกแล้ว ยังสามารถเกิดขึ้นกับทุกคนที่มีร่างกายแข็งแรงได้อีกด้วย โดยสาเหตุหลักนั้นเกิดจากเซลล์สมองที่มีนับล้านเซลล์ที่ทำงานเชื่อมโยงกันเหมือนวงจรไฟฟ้าและปล่อยคลื่นไฟฟ้าออกมาผิดปกติพร้อมกันอย่างเฉียบพลัน ส่งผลให้การควบคุมการทำงานของสมองเสียไปชั่วขณะ

โรคนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากกรรมพันธุ์ ติดเชื้อในสมอง สมองขาดออกซิเจน ดื่มสุรา อุบัติเหตุทำให้เกิดแผลเป็นในสมอง หรือเซลล์สมองอยู่ผิดที่ หรือมีเนื้องอกในสมอง โดยสถิติทั่วโลกพบผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 50 ล้านคน 2 ใน 3 อยู่ในทวีปเอเชีย ส่วนในประเทศไทยคาดการณ์ว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคนี้ร้อยละ 1 หรือมีประมาณ 650,000 คนทั่วประเทศ แต่สถิติการเข้ารับการรักษาพบว่ามีน้อยมากประมาณร้อยละ 10 โดยข้อมูลในปี 2558 มีผู้เข้ารับการรักษาจำนวน 79,385 คน เป็นชาย 49,100 คน หญิง 30,285 คน

อาการของโรคลมชักแบ่งเป็น 2 ลักษณะอาการคือ 1.อาการชักกระตุกเกร็งไปทั้งตัวคล้ายกับลมบ้าหมู ลักษณะการชักแบบนี้จะเห็นได้ชัดเจน คนไทยส่วนใหญ่จะคุ้นเคยและรู้จักว่าโรคลมบ้าหมู 2.อยู่ดีๆก็มีอาการแบบเบลอๆ เหม่อลอย ไม่รู้สึกตัว หรือที่เรียกว่า “อาการวูบไปชั่วขณะ” อาจมีตาค้างหรือตาเหลือกด้วยก็ได้ ส่วนมากมักพบในเด็กอายุ 6-14 ปี อาการของโรคลมชักชนิดนี้คนไทยยังรู้จักน้อยมาก และมักจะเข้าใจผิดว่าเป็นอาการวูบหรือเป็นลมทั่วไป จึงไม่ไปรับการรักษาอย่างทันท่วงที

ดังนั้น หากมีอาการดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นใน 2 ลักษณะอาการ อย่านิ่งนอนใจ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของการชักให้เร็วที่สุด และให้การรักษาตามสาเหตุ เช่น หากอาการชักเกิดจากคลื่นสมองผิดปกติทั่วไป จะให้การรักษาด้วยยาเพื่อควบคุมอาการชัก โดยปรับกระแสไฟฟ้าในสมองให้กลับมาทำงานเป็นปกติ ป้องกันเซลล์สมองถูกทำลาย หากเกิดจากเนื้องอกในสมองอาจใช้วิธีการผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกออก

หากผู้ที่มีอาการชักได้รับการรักษาเร็ว โดยเฉพาะหลังจากมีอาการครั้งแรก จะมีโอกาสหายขาดได้สูง และสามารถกลับมาเรียนหนังสือหรือทำงานได้ แต่หากไม่ได้รับการรักษาก็จะมีอาการชักบ่อย บางรายอาจเกิดเป็นชุดๆหรือเกิดตลอดวันก็ได้ จะมีผลเสียที่เป็นอันตรายต่อชีวิต โดยเฉพาะการชักแบบลมบ้าหมูอาจทำให้เซลล์สมองตาย และทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากนี้ร้อยละ 30 ส่งผลทำให้เกิดโรคทางจิตเวชตามมาได้ ซึ่งถือเป็นภัยเงียบแบบไม่ทันตั้งตัว

การรักษาโรคลมชัก ผู้ป่วยจะต้องยึดหลักปฏิบัติอย่างเคร่งครัดคือ การรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง อย่าหยุดยาเอง และไม่ลดจำนวนยาเอง ต้องใช้เวลารักษาไม่ต่ำกว่า 2 ปี จึงจะควบคุมอาการชักที่ได้ผลดี โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาปรับลดหรือหยุดยาให้เอง ผู้ป่วยประมาณกว่าร้อยละ 70 จะมีโอกาสหายขาดได้ ส่วนอีกร้อยละ 30 มีอาการดีขึ้น แม้ไม่หายชักทั้งหมดก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชักจะมีความเสี่ยงเสียชีวิตได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป 2-3 เท่า สำหรับการช่วยเหลือผู้ที่กำลังมีอาการชัก ผู้ที่พบเห็นต้องตั้งสติให้ดี ระวังไม่ให้ผู้ป่วยเกิดอันตรายจากการชัก ไม่สำลักน้ำลายหรืออาหาร โดยให้จับศีรษะและลำตัวตะแคงไปด้านข้าง และดูแลไม่ให้มีสิ่งของที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยมากระทบกับผู้ป่วยโดยตรง เช่น กาน้ำร้อน หรืออุปกรณ์ต่างๆที่เป็นของแข็ง เพื่อไม่ให้แขนขาของผู้ป่วยมากระแทก หากเป็นไปได้ให้บันทึกภาพเคลื่อนไหวของอาการชักที่เกิดขึ้นด้วย เพื่อนำไปให้แพทย์วินิจฉัยแยกอาการชักจากโรคลมชักกับโรคอื่นๆได้อย่างชัดเจน ที่สำคัญยังเป็นการช่วยเหลือแพทย์ในการวินิจฉัยหาแนวทางการรักษาได้อีกด้วย


You must be logged in to post a comment Login