วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567

ไปตีค่าไม้กฤษณาในกัมพูชากัน

On March 21, 2019

คอลัมน์ โลกอสังหาฯ
ไปตีค่าไม้กฤษณาในกัมพูชากัน
โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย
(โลกวันนี้วันสุข วันที่ 22-29 มีนาคม 2562)

จำได้ว่าในสมัยทักษิณ เขาพาชาวตะวันออกกลางมาเช่าที่ทำนาในประเทศไทย ถูกกล่าวหาว่า “ขายชาติ” แต่ตอนนี้ทั่วทั้งอินโดจีนมีการเช่าที่ทำการเกษตรมากมาย สร้างรายได้เข้าประเทศมหาศาล โดยไม่เป็นการขายชาติแบบขายบ้านและที่ดินและคนต่างชาติอย่างที่ไทยกำลังทำ พืชและไม้มีค่าสร้างรายได้มหาศาลแก่ประเทศชาติ มาดูกันในกรณีไม้กฤษณาในประเทศกัมพูชาที่ต่างชาติเช่าที่ปลูกและผลิตได้กำไรงาม

อย่าว่าแต่ประเทศตะวันออกกลางเลย เพื่อความมั่นคงทางอาหาร แม้แต่บรูไนก็ยังคิดไปทำการเกษตรนอกบ้าน การปลูกไม้ยางพารา ปาล์ม ไม้สัก กาแฟ ไม้กฤษณา และอื่นๆ มีอยู่ทั่วไปในอาเซียน โดยเฉพาะประเทศชั้นนำ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ก็ไปปลูกพืช ร่วมทุนแบบ Contract Farming ในต่างประเทศอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ทำการแปรรูปและส่งไปขายยังตลาดทั่วโลกได้กำไรงดงาม การทำการเกษตรส่งขายนานาชาติเช่นไม้กฤษณานี้จะเป็นจุดเปลี่ยนให้ประเทศอินโดจีนที่ล้าหลังกว่าไทยกลับมาแซงไทยได้ทางหนึ่ง!
ไม้กฤษณา
ไม้กฤษณาคืออะไร (https://bit.ly/2HDXahA) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีเอกสารเผยแพร่ว่าเป็นไม้หอม ไม้กฤษณาที่ยังเป็นต้นไม้อยู่ (ตอนที่ยังไม่เกิดบาดแผล) จะมีเนื้อไม้สีขาว แต่เมื่อเกิดบาดแผลแล้วจะมีน้ำมันสีดำเกิดขึ้นและขยายวงกว้างออกไป สำหรับไม้กฤษณาเกรดดีๆที่มีราคาหลายหมื่นบาทจะต้องทิ้งไว้หลายปีจนเป็นสีดำสนิทหรือสีน้ำตาล
ไม้กฤษณา2
ในด้านการขยายพันธุ์จะใช้การเพาะเมล็ด เมล็ดของกฤษณามาจากดอกที่จะออกดอกช่วงผลัดใบ ไม้กฤษณาสามารถขึ้นได้ทั่วๆไป แต่สภาพดินต้องมีความชุ่มชื้น มีฝนตกไม่ต่ำกว่า 5 เดือน และต้องตัดแต่งกิ่งให้ดีด้วย จะต้องมีระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 3.3 ตารางเมตร เมื่อปลูกได้แล้วหลังจาก 5 ปี ควรจะวัดเส้นรอบวงได้ประมาณ 50 เซนติเมตร โดยวัดสูงจากพื้นดิน 1 เมตร

ในด้านราคาพบว่าที่จังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราด ต้นกล้าสูงประมาณ 1 ฟุต ขาย 10 บาท แต่ถ้าสูง 5-6 เซนติเมตร ขาย 4-5 บาท เมื่อมีการกลั่นโดยต้มไม้ในหม้อความดันก็จะเกิดน้ำมันออกมา และนำไปแบ่งตามเกรด ราคาน้ำมัน 4,000-8,000 บาท ต่อ 1 solar (12 กรัม) การทำน้ำมันกฤษณาส่วนที่เป็นเนื้อไม้สีดำ เป็นไม้ที่เจาะไว้ 10-12 ปีขึ้นไป ถือเป็นสินค้าเกรดพรีเมียมราคาสูง 500,000 บาทต่อกิโลกรัม ถ้าเป็นเกรดซูเปอร์พรีเมียมราคา 850,000 บาทต่อกิโลกรัม (https://bit.ly/2TLxA1k)

ในประเทศไทยมีการปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจ มีความต้องการของตลาดประเทศมุสลิมโดยนำไปประกอบพิธีทางศาสนา สมุนไพร และมักใส่ในน้ำหอม ทำให้ติดทนนาน ในแถบตะวันออกกลางมักจุดใช้ในครัวเรือนทำให้มีกลิ่นหอม เป็นเครื่องแสดงฐานะ นอกจากนั้นในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา เมียนมา ลาว ก็มีการปลูกกันมาก โดยมีเกษตรกรปลูกต้นกฤษณาโดยเฉพาะ และมีตลาดรับซื้อที่ดินที่มีต้นกฤษณาตามอายุที่ปลูกและนำมาขาย ที่ดินที่ใช้เพื่อการเกษตรแบบต้นกฤษณานี้มีมูลค่าสูงกว่า ได้ผลตอบแทนจากการปลูกสูงกว่าการปลูกพืชระยะสั้น เช่น ข้าว หรือพืชระยะยาวอื่นๆ เช่น ยางพารา ไม้สัก เพราะตลาดนี้ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก

การปลูกไม้กฤษณาอย่างเป็นล่ำเป็นสันในกัมพูชา เมียนมา และลาวนั้น เกิดขึ้นเพราะความหนาแน่นของประชากรน้อยมาก ยังมีที่ดินอีกมหาศาลในการปลูก อันที่จริงไทยเองก็ปลูกได้มากเช่นกัน จากการประเมินค่าทรัพย์สินไม้กฤษณาในกัมพูชาพบว่า มีการปลูกกันตามอำเภอเปร็ยนบ (Prey Nob) อำเภอกัมโพช หรืออาจจะในพื้นที่อื่นที่ค่อนข้างชุ่มชื้น ชาวบ้านปลูกไม้กฤษณาแล้วขายออกไปตามอายุ

ในการประเมินค่าทรัพย์สิน มีกระบวนการดำเนินงานประมาณ 5 ขั้นตอนในเบื้องต้น โดยผู้ประเมินเริ่มต้นด้วย
1.การสำรวจแปลงที่ดินและทำเล
2.การสำรวจเกี่ยวกับอาคารในพื้นที่ และเครื่องมือที่ใช้
3.การสำรวจสถานะของต้นไม้ โดยการสุ่มตัวอย่างขนาดต้นไม้ในแต่ละแปลงปลูก ตามอายุของแต่ละแปลง
4.การสำรวจราคาที่ดินแปลงปลูกตามอายุต่างๆที่มีการซื้อขายหรือเช่าระยะยาวในพื้นที่ เช่น ในกัมพูชา หรือลาว
5.การสำรวจราคาของสินค้าแต่ละประเภท เช่น ต้นไม้ ท่อนไม้กฤษณา ราคาน้ำมันกฤษณา เป็นต้น

ในการวิเคราะห์ทางการเงินเพื่อการประเมินมูลค่าทรัพย์สินไม้กฤษณานั้น ผู้ประเมินค่าทรัพย์สินจำเป็นต้องดำเนินการโดย
1.รายได้จากแหล่งต่างๆ อันพิจารณาจากจำนวนต้นไม้ตามสภาพและอายุ ผลิตภัณฑ์ที่คาดว่าจะผลิตได้ตามเกรดของสินค้าไม้กฤษณา และน้ำมันกฤษณา แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงราคาในอนาคต
2.ลบด้วยรายจ่ายค่าดำเนินการต่างๆ รวมทั้งค่าปรับปรุงที่ดิน ค่าอุปกรณ์ และสิ่งปลูกสร้าง
3.รายได้สุทธิจากการดำเนินการ
4.ลบด้วยราคาที่ดินเปล่าตามราคาตลาด
5.การประเมินมูลค่าของสินทรัพย์ชีวภาพ (Biological Assets)

สำหรับในการประเมินค่าภาคปฏิบัตินั้น ผู้ประเมินพึงเข้าใจถึงค่าใช้จ่ายบางรายการที่แตกต่างจากต้นไม้ทั่วไป นั่นก็คือ
1.ต้นทุนการซื้อกล้าไม้มาปลูก หรือซื้อพื้นที่เพาะปลูกที่มีต้นไม้ตามอายุอยู่แล้ว โดยคิดต่อต้น
2.ต้นทุนในการฉีดสารกระตุ้น (Inoculation) ซึ่งสำหรับไม้กฤษณามีการฉีดเป็นระยะๆ เช่น ฉีดเมื่อมีอายุ 8-10 ปี ปีละครั้ง (ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเทคนิคของแต่ละราย) โดยคิดต่อต้น
3.ต้นทุนค่าจัดเตรียมสถานที่ โดยคิดต่อไร่ (พื้นที่)
4.ต้นทุนค่าตัดไม้ (Harvest Costs) โดยคิดต่อต้น
5.ต้นทุนค่าจัดการท่อนไม้และการกลั่น โดยคิดต่อกิโลกรัม
6.ต้นทุนค่าขนส่ง โดยคิดต่อต้น
7.ต้นทุนค่าวัสดุต่างๆ โดยคิดต่อต้น
8.ต้นทุนอื่นๆ โดยคิดต่อต้น เป็นต้น

ในภาคปฏิบัติจริงในการประเมินค่าไม้กฤษณาที่ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจากนักลงทุนชาวสิงคโปร์เพื่อการนำเข้าตลาดหลักทรัพย์นั้น ใช้เวลาประเมินประมาณ 2 เดือน โดยประมาณ 10 วันต่อเนื่อง เป็นช่วงเวลาในการสำรวจทรัพย์สินในพื้นที่ประเทศกัมพูชา

โดยสรุปแล้ว การลงทุนทำไม้กฤษณาโดยการเพาะปลูกแทนการไปหาไม้ในป่านั้นคุ้มค่าการลงทุนเป็นอย่างยิ่ง และมีการปลูกต้นกฤษณาเพื่อขายอย่างกว้างขวางในหลายพื้นที่ทั้งในไทยและในประเทศเพื่อนบ้าน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ระบุว่า การลงทุนนี้เหมาะสมสำหรับเกษตรกรที่มีทุนมากและสามารถรอได้ จะปลูกเป็นผืนป่าก็ได้ แต่สำหรับเกษตรกรที่มีทุนน้อยควรจะปลูกแบบรอบๆสวนมากกว่า (https://bit.ly/2HDXahA)

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันที่มีการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทางเลี่ยงอย่างหนึ่งคือการทำเกษตรกรรม การปลูกกล้าไม้กฤษณา หรือทำแปลงเกษตรไม้กฤษณา อาจเป็นทางเลือกหนึ่งในการลดการเสียภาษีที่ดินเปล่าได้เช่นกัน


You must be logged in to post a comment Login