วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567

ประตูสวรรค์เปิดสำหรับการต่อสู้ผู้รุกราน

On October 3, 2018

คอลัมน์ สันติธรรม

“ประตูสวรรค์เปิดสำหรับการต่อสู้ผู้รุกราน”

โดย บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้วันสุข วันที่ 5-12 ตุลาคม 2560)

การเข่นฆ่ากันระหว่างมนุษย์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกบนโลกใบนี้เมื่อกอบีล (คาอิน) ลูกชายของอาดัม ฆ่าฮาบีล (อาเบล) น้องชายของตัวเอง เพราะกอบีลต้องการแต่งงานกับผู้หญิงที่อาดัมจัดให้แต่งงานกับฮาบีล ทั้งๆที่พระเจ้าตัดสินให้เป็นไปตามนั้นแล้ว แต่กอบีลก็ยังฆ่าน้องชายของตัวเอง

นับแต่นั้นการฆ่ากันระหว่างมนุษย์ก็เกิดขึ้นเรื่อยมา สาเหตุของการฆ่าล้วนวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆความรัก โลภ โกรธ หลง ทั้งสิ้น

อารมณ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในมนุษย์ที่ยังมีวิญญาณอยู่ในร่าง ถ้ามันเกิดขึ้นกับคนธรรมดา เป้าหมายของการเข่นฆ่าสังหารก็มีเพียงคู่กรณี แต่ถ้ามันเกิดขึ้นกับคนที่เป็นกษัตริย์หรือเป็นแม่ทัพ ผู้ที่ตกเป็นเป้าของการเข่นฆ่าสังหารจะรวมถึงผู้หญิง เด็ก และคนแก่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วย

bhakawat

การฆ่ากันระหว่างมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่ในรูปของสงครามโลก 2 ครั้งที่ผ่านมา แรงจูงใจที่อยู่เบื้องหลังสงครามก็คือความโลภในทรัพยากรเหล็กและถ่านหินที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเจริญเติบโตของชาติตะวันตก ขณะนี้ความโลภในน้ำมันก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3

การฆ่าเป็นอาชญากรรมและเป็นบาปในทางศาสนา เนื่องจากศาสนามาจากพระเจ้าผู้ทรงสร้างชีวิต ไม่มีศาสนาใดในโลกนี้ที่ไม่ห้ามการรุกราน การกดขี่ข่มเหง และการเข่นฆ่าสังหาร แต่หากมีการฝ่าฝืนข้อห้ามทางศาสนา ศาสนาจำเป็นต้องมีมาตรการยับยั้ง การโดนตบแก้มซ้ายแล้วหันแก้มด้านขวาให้ตบอีกไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่ทำให้คนตบเห็นถึงความอ่อนแอของผู้ถูกตบ และเกิดความย่ามใจที่จะทำเช่นนั้นต่อไปจนการรังแกคนอื่นกลายเป็นกมลสันดาน

จึงมิใช่เรื่องแปลกแต่ประการใดที่ในคำสอนของศาสนามีเหตุผลและมาตรการในการทำสงครามเพื่อป้องกันการรุกราน และถือว่าการทำเช่นนั้นเป็นความเสียสละอย่างสูง และเป็นความดีที่จะได้รับรางวัลตอบแทน

ในภควัทคีตา บทที่ 2 โองการที่ 31-33 กฤษณะบอกอรชุนว่า :-

“เมื่อพิจารณาถึงหน้าที่เป็นกษัตริย์ เจ้าต้องรู้ว่าไม่มีการต่อสู้อะไรสำหรับเจ้าจะดีไปกว่าการต่อสู้เพื่อหลักการศาสนา ดังนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องลังเล”

“โอ้ พารถะ ความสุขเป็นของกษัตริย์ที่โอกาสการต่อสู้เช่นนั้นมาถึงโดยไม่ต้องแสวงหา เป็นการเปิดประตูของดวงดาวแห่งสวรรค์ให้พวกเขา”

“อย่างไรก็ตาม ถ้าเจ้าไม่ต่อสู้สงครามศาสนานี้ เจ้าจะมีบาปอย่างแน่นอน เพราะการละทิ้งหน้าที่ของเจ้า แล้วเจ้าจะสูญเสียชื่อเสียงในฐานะเป็นนักต่อสู้”

ข้อความดังกล่าวจากคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดูก่อนพุทธกาลชัดเจนและสามารถเข้าใจได้ง่ายโดยไม่ต้องอธิบายอะไรอีก

คำสั่งในคัมภีร์กุรอานที่อนุมัติให้จับอาวุธขึ้นต่อสู้ก็อยู่บนพื้นฐานเดียวกัน นั่นคือ การป้องกันตนเอง การต่อต้านการรุกราน การลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการปฏิบัติศาสนา

นบีมุฮัมมัดและชาวอาหรับที่หันมารับนับถืออิสลามในยุคแรกใช้ความอดทนอดกลั้นต่อการถูกกดขี่ข่มเหงเป็นเวลา 13 ปีโดยที่ไม่มีการตอบโต้ แม้จะใช้วิธีการอพยพออกจากมักก๊ะฮฺไปเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิต แต่การตามราวีจากผู้กดขี่ก็ยังไม่สิ้นสุด ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงได้อนุญาตให้นบีมุฮัมมัดจับอาวุธต่อสู้ผู้รุกราน โดยถามท่านว่าทำไมท่านจึงไม่ต่อสู้เพื่อป้องกันคนแก่และเด็กที่วอนขอความช่วยเหลือต่อพระเจ้า

เมื่อได้รับคำถามเปิดทางให้ต่อสู้เช่นนี้ นบีมุฮัมมัดจึงเริ่มเตรียมกำลังคนทำสงคราม และเมื่อมีคำสั่งอนุมัติชัดเจนให้ต่อสู้เมื่อถูกรุกรานและถูกกดขี่ข่มเหง สงครามจึงเกิดขึ้นหลายครั้งในช่วงเวลา 8 ปีที่นบีมุฮัมมัดใช้ชีวิตอยู่ในเมืองมะดีนะฮฺ

ก่อนหน้านี้และในปัจจุบันไม่มีชาติใดในตะวันออกกลางรุกรานชาติตะวันตก แต่สงครามที่ดำเนินอยู่ในตะวันออกกลางขณะนี้ล้วนเกิดขึ้นจากความโลภในน้ำมัน ถ้าใครคิดว่าการต่อต้านผู้รุกรานคือการก่อการร้ายและเป็นคำสอนของอิสลาม อย่าเพิ่งอ่านคัมภีร์กุรอาน แต่ให้อ่านข้อความจากภควัทคีตาข้างต้นก่อน

 


You must be logged in to post a comment Login