วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567

วิธีเลิกทาสของนบีมุฮัมมัด

On June 25, 2020

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 26 มิ.ย.-3ก.ค. 2563)

วันที่ 19 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันที่ชาวอเมริกันเรียกว่าวันจูนทีนธ์ (Juneteenth) หรือวันรำลึกการเลิกทาสของสหรัฐ โดยประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ได้ออกคำสั่งเมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1862 หลังจากนั้นรัฐต่างๆได้ทยอยเลิกทาสกันไป จนกระทั่งรัฐเทกซัสเป็นรัฐสุดท้ายที่ของสหรัฐที่ประกาศเลิกทาสในวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 1865 หลังทำสงครามกลางเมืองกันเป็นเวลา 2 ปีครึ่ง

ทาสเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่อดีตนับเป็นพันปี และเป็นสิ่งที่ทุกศาสนาต่อต้าน เพราะมันเป็นการปฏิบัติต่อมนุษย์ด้วยกันเหมือนสัตว์หรือสิ่งของ

ในอดีตกว่า 3,000 ปีก่อน พวกลูกหลานอิสราเอลได้รับความทุกข์ทรมานจากการตกเป็นทาสของฟาโรห์ผู้ถือว่าตัวเองเป็นพระเจ้าที่มนุษย์ต้องกราบสักการะเขา พระเจ้าจึงมีบัญชาโมเสสให้ไปบอกความจริงแก่ฟาโรห์ว่าเขาไม่ใช่พระเจ้า และมอบภารกิจให้โมเสสปลดปล่อยพวกลูกหลานอิสราเอลจากการเป็นทาสของฟาโรห์ เรื่องราวดังกล่าวนี้มีกล่าวอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอาน

หลังสมัยของโมเสสระบบทาสได้กลับมาเกิดขึ้นอีก เพราะมนุษย์ต้องการแรงงานและเครื่องมือทำงาน จึงจับมนุษย์ด้วยกันมาเป็นเครื่องมือทำงาน และเมื่ออยู่ในสถานะเครื่องมือทำงาน ทาสจึงเป็นสินค้าที่ซื้อขายในตลาดค้าทาสเหมือนสินค้าทั่วไป และเมื่อเจ้าของทาสตาย ทาสจะกลายเป็นมรดกตกทอดของทายาทนายทาส ทาสส่วนใหญ่จะถูกจับมาจากคนที่ถูกถือว่าต่ำต้อยกว่าตนหรือเป็นคนเผ่าอื่น

ความพยายามเลิกทาสเป็นภารกิจสำคัญอย่างหนึ่งของมหาบุรุษ ก่อนได้รับภาระหน้าที่เป็นนบีเผยแผ่คำสอนอิสลาม มุฮัมมัดหนุ่มชาวเมืองมักก๊ะฮฺวัย 25 ปี ได้แต่งงานกับนางเคาะดีญะฮฺ และเขาได้รับของขวัญเป็นทาสหนุ่มคนหนึ่งชื่อ เซด บินฮาริษะฮ์ เมื่อได้รับเซดมา มุฮัมมัดได้ปล่อยเซดให้เป็นอิสระ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังจูงมือเซดออกไปประกาศให้ผู้คนได้รู้ว่าเขารับเซดเป็นบุตรบุญธรรมของเขา

slave

ในระบบการรับบุตรบุญธรรมของชาวอาหรับก่อนสมัยอิสลามนั้น บุตรบุญธรรมถือเป็นบุตรจริงๆและมีสิทธิรับมรดกจากพ่อบุญธรรม และเซดได้เปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็นบินมุฮัมมัด ซึ่งแปลว่าลูกชายของมุฮัมมัด

หลังจากได้รับการแต่งตั้งเป็นนบีทำหน้าที่เผยแผ่คำสอนอิสลาม มีทาสหลายคนที่ศรัทธาในคำสอนของนบีมุฮัมมัดและต้องถูกนายทาสทรมานอย่างหนักเพื่อให้เลิกล้มความศรัทธา ในจำนวนนี้มีทาสผิวดำคนหนึ่งที่ถูกจับมาจากแอฟริกาชื่อบิลาล เมื่อนบีมุฮัมมัดรู้ ท่านได้สั่งให้สาวกของท่านนำเงินไปไถ่ตัวบิลาลจากความเป็นทาส หลังจากนั้นบิลาลได้เป็นผู้ติดตามใกล้ชิดท่านนบีและสาวกคนอื่นๆอย่างเท่าเทียมกัน

เนื่องจากทาสเป็นสมบัติมีค่าอย่างหนึ่งซึ่งเจ้าของทาสหวงแหน การปลดปล่อยทาสของนบีมุฮัมมัดจึงต้องทำอย่างระมัดระวัง และให้คนปล่อยทาสทำด้วยความเต็มใจและไม่รู้สึกว่าตัวเองสูญเสียสิ่งมีค่า

นอกจากการใช้เงินซื้อทาสมาปล่อยให้เป็นอิสระแล้ว นบีมุฮัมมัดยังใช้การทำผิดทางศาสนามาเป็นมาตรการในการปลดปล่อยทาสด้วย เช่น ระหว่างการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน หากมุสลิมคนใดมีความสัมพันธ์ทางเพศกับภรรยาในเวลากลางวัน คนผู้นั้นต้องไถ่โทษด้วยวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้คือ ถือศีลอดชดใช้ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 60 วัน หรือไม่ก็ปล่อยทาส 1 คน หรือเลี้ยงอาหารคนยากจน 60 คน

หากใครที่ยังไม่สามารถปลดปล่อยทาสได้เพราะความจำเป็นหรือเหตุผลบางอย่าง นบีมุฮัมมัดได้บอกผู้มีทาสอยู่ในครอบครองว่า “ทาสของท่านคือพี่น้องของท่าน พระเจ้าได้ให้พวกเขาอยู่ในการดูแลของท่าน และใครที่มีพี่น้องของตนอยู่กับเขา จงให้อาหารเขาเหมือนกับที่ตัวเองกิน ให้เสื้อผ้าเขาเหมือนกับที่ตัวเองใส่ และอย่าให้เขารับภาระเกินความสามารถของเขา ถ้าหากท่านให้ภาระหนักแก่เขา ดังนั้น จงช่วยเขา”

ในคัมภีร์กุรอานบทที่ 24:33 พระเจ้าได้สั่งผู้ศรัทธาในพระองค์ว่า หากทาสขอให้มีการทำสัญญาปลดปล่อยโดยเงื่อนไขใดๆก็ตาม จงทำสัญญาปลดปล่อยทาสคนนั้นถ้าหากเห็นว่าทาสคนนั้นสามารถเอาตัวรอดได้เมื่อเป็นอิสระ และอย่าบังคับทาสหญิงให้ต้องเป็นโสเภณีเพื่อหาประโยชน์ให้ตัวเอง

ก่อนนบีมุฮัมมัดได้จากโลกนี้ไป ท่านได้วางหลักประกันในการปลดปล่อยทาสไว้จนถึงวันสิ้นโลก นั่นคือการกำหนดให้มุสลิมสามารถนำซะกาตหรือภาษีทางศาสนาที่ต้องจ่ายทุกปีไปใช้ในการปลดปล่อยทาสและเชลยได้


You must be logged in to post a comment Login