วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2567

ภาษีศาสนา

On March 29, 2024

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 29  มี.ค.  67)

อิสลามกำหนดการปฏิบัติศาสนกิจขั้นพื้นฐาน 5 ประการให้มุสลิมปฏิบัติเพื่อเป็นการแสดงความศรัทธาในพระเจ้า  การสักการะและแสดงความกตัญญูต่อพระองค์ผู้ทรงสร้างทุกมนุษย์และประทานปัจจัยยังชีพแก่ทุกชีวิต

ในคัมภีร์กุรอาน  เราพบว่าพระเจ้าได้บอกอับราฮัมให้รู้ถึงวิธีการละหมาดและการทำฮัญ์  และเราพบร่องรอยหลักฐานยืนยันเรื่องนี้แม้แต่ในคัมภีร์ไบเบิลว่าอับราฮัมแสดงความเคารพสักการะพระเจ้าด้วยการก้มกราบ

ส่วนเรื่องการจ่ายซะกาตหรืออาจเรียกว่าภาษีทางศาสนานั้นมีขึ้นในสมัยในสมัยของอิสมาอีล บุตรคนแรกจากภรรยาคนที่สองของอับราฮัม  คัมภีร์กุรอานพูดถึงเรื่องนี้ว่า “และได้มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ถึงเรื่องราวของอิสมาอีล เขาเป็นผู้ซื่อตรงต่อสัญญา เป็นผู้นำสาส์นจากพระเจ้า เป็นนบีคนหนึ่ง เขาสั่งคนของเขาให้ดำรงละหมาดและจ่ายซะกาต”  (กุรอาน 19:54-55)

ลูกหลานของอับราฮัมจากภรรยาคนแรกก็ได้รับคำสั่งเรื่องการจ่ายซะกาตเช่นกัน  เราพบหลักฐานในคัมภีร์กุรอานว่าลูกหลานอิสราเอลถูกบัญชาให้ละหมาดและจ่ายซะกาต (กุรอาน 98:5)  ลูกหลานอิสราเอลคือบุตร 12 คนของยาโกบลูกชายของอิชอักผู้เป็นลูกคนที่สองของอับราฮัมจากนางซาราห์ภรรยาคนแรก

แต่เนื่องจากคัมภีร์ไบเบิลมิได้ใช้ภาษาอาหรับ จึงเรียกซะกาตตามอัตราการจ่ายว่า “ทศางค์” ซึ่งหมายถึงหนึ่งในสิบตามหลักฐานดังต่อไปนี้ :

“ทศางค์(หนึ่งในสิบ)ทั้งสิ้นที่ได้จากแผ่นดิน  เป็นพืชที่ได้จากแผ่นดินก็ดี หรือผลจากต้นไม้ก็ดีเป็นของพระเจ้า” (เลวีนิติ 27:30)

“ผลได้เป็นปีๆจากพืชพันธุ์ในนาของท่านนั้น  ท่านจงถวายทศางค์”  (เฉลยธรรมบัญญัติ 14:22)

“เราให้ทศางค์ในอิสราเอลแก่คนเลวีเป็นมรดก เป็นค่าตอบแทนงานที่เขาปฏิบัติ คืองานปฏิบัติที่เต๊นท์นัดพบ” (กันดารวิถี 18:21)

คัมภีร์กุรอานกล่าวอีกว่าเยซัสหรือนบีอีซาก็กำชับพวกลูกหลานอิสราเอลในสมัยของท่านให้ละหมาดและจ่ายซะกาต  นั่นแสดงว่าการจ่ายทศางค์ยังคงปฏิบัติกันเรื่อยมา  แต่ส่วนในฝั่งของลูกหลานอิสมาอีลผู้เป็นต้นตระกูลชาวอาหรับนั้น  การละหมาดและการจ่ายซะกาตได้ถูกลืมเลือนจนหายไปในที่สุด

เป็นเรื่องน่าสนใจว่าพวกลูกหลานอิสราเอลได้บริหารการจัดเก็บและการจัดสรรทศางค์อย่างมีแบบแผนซึ่งเราสามารถพบได้ในคัมภีร์ไบเบิลดังนี้

– จ่าย 1/10 ของผลิตผลเกษตรและปศุสัตว์ (เลวิติโก 27:30-32)

– อายุยี่สิบขึ้นไปไม่ว่ารวยหรือจนต้องจ่ายครึ่งเชเคลทุกสามปี (อพยพ 30:13-15)

– ผู้จัดเก็บคือกองคลังของวิหารแห่งเยรูซาเล็ม

– ครึ่งหนึ่งของทศางค์ที่เก็บได้จะถูกจัดสรรให้เจ้าหน้าที่ทางศาสนา

– 1/10 จากที่เหลือถูกนำไปให้พวกเลวี (ลูกหลานของนบีฮารูน)

– 1/10 สำหรับดูแลคนที่ไปแสวงบุญที่เยรูซาเล็ม

– ส่วนที่เหลือนำไปใช้ดูแลแม่ม่าย เด็กกำพร้า คนยากจน

ไม่เป็นเรื่องน่าแปลกอะไรที่เมื่อมนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นสังคม  มนุษย์ทุกคนในฐานะสมาชิของสังคมจำเป็นต้องมีส่วนรับผิดชอบในการพัฒนาและบำรุงรักษาท้องถิ่นที่ตนอาศัยอยู่  หากปราศจากสิ่งนี้  การพัฒนาสังคมก็ไม่อาจเป็นไปได้  แต่แนวความคิดและการปฏิบัติดังกล่าวมิได้มาจากมนุษย์ แต่มาจากพระเจ้า  การปฏิบัติตามคำสั่งจากพระเจ้าจึงเป็นการแสดงออกถึงความศรัทธาและการถวายสักการะพระเจ้าไปพร้อมกัน


You must be logged in to post a comment Login