- เลือกงานให้โดน บริหารคนให้เป็น ตาม“ลัคนาราศี”Posted 10 hours ago
- ต่างศาสนา ต่างชาติพันธุ์ อยู่ร่วมกันภายใต้ความแตกต่างPosted 11 hours ago
- โลภ•ลวง•หลง เกมพลิกชีวิต รีแบรนด์หรือรีบอร์นPosted 11 hours ago
- กูไม่ใช่ไก่ต้มเว้ย! อย่ามาต้มกูเลย..Posted 11 hours ago
- หยุดความรุนแรง-ลวงโลกPosted 1 day ago
- อ.เบียร์ช่วยวัดสวนแก้วPosted 5 days ago
- เลิกเสียเงินกับเรื่องโง่ๆPosted 6 days ago
- ปัญหายาเสพติดวาระแห่งชาติPosted 7 days ago
- แก่อย่างไม่มีคุณค่าPosted 1 week ago
- “ทักษิณ” ยังมีมนต์ขลังPosted 1 week ago
อิสลามมาเพื่อความสมดุลของชีวิต
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 13 ม.ค. 66 )
นกบินอยู่บนฟ้าได้เพราะมันกระพือปีกสองข้างพร้อมๆกัน ไม่มีนกตัวใดลอยอยู่กลางอากาศได้โดยกางปีกเพียงข้างเดียว การบินของนกบนท้องฟ้าจึงน่าจะทำให้มนุษย์ได้รับบทเรียนในการใช้ชีวิตบ้าง
ชีวิตของมนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและวิญญาณที่ไม่อาจแยกจากกันได้ นั่นคือ ชีวิตของมนุษย์จะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อร่างกายและวิญญาณได้รับการตอบสนองอย่างสมดุล
ถ้าร่างกายต้องการอาหารเพื่อการเจริญเติบโตและแข็งแรง ต้องการการชำระล้างเพื่อความสะอาดหมดจดสดชื่น ต้องการการพักผ่อนเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าและต้องการการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ วิญญาณก็ต้องการเช่นกัน
วิทยาศาสตร์สามารถตอบสนองความต้องการทางด้านร่างกายของมนุษย์ได้ทุกอย่าง แต่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถตอบสนองความต้องการทางด้านวิญญาณของมนุษย์ได้ มิหนำซ้ำ กลับทำลายความต้องการทางด้านวิญญาณของมนุษย์อีกต่างหาก
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมมนุษย์จำเป็นต้องมี ต้องเรียนและต้องปฏิบัติศาสนา เพราะการปฏิบัติศาสนกิจจะตอบสนองความต้องการทางด้านวิญญาณของมนุษย์และทำให้ชีวิตของมนุษย์ได้รับความสมบูรณ์
สิ่งที่เราเรียกกันว่า “ศาสนา” ในปัจจุบันนั้นความจริงแล้วเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของแนวทางการดำเนินชีวิตที่พระเจ้าประทานแก่มนุษยชาติ แต่คำสอนของศาสนาแทรกซึมอยู่ในทุกมิติของการดำเนินชีวิต การปฏิบัติศาสนกิจจึงต้องทำเป็นประจำเช่นเดียวกับที่มนุษย์ต้องกินข้าว อาบน้ำ พักผ่อนและออกกำลังกาย
ในอดีตที่สังคมยังมีผู้คนไม่มากและอาศัยอยู่ห่างกัน การรักษาคำสอนของศาสนาจึงกระทำโดยพระ นักบวชหรือสงฆ์ การตักบาตรแก่พระสงฆ์นอกจากเป็นการทำทานบริจาคอาหารแก่พระสงฆ์แล้ว ยังช่วยพระสงฆ์ให้มีเวลาศึกษาพระธรรมคำสอนของศาสนาเพื่อมาสอนให้แก่คนทั่วไป และเป็นการรักษาศาสนาไว้ให้คนรุ่นหลัง
ก่อนหน้าสมัยอิสลาม ชาวอาหรับไม่มีนักบวชหรือพระ แต่ชาวอาหรับเชื่อในเวทมนตร์ไสยศาสตร์และกราบไหว้บูชารูปเคารพต่างๆมากมาย เมื่อนบีมุฮัมมัดเริ่มเผยแผ่อิสลามและเริ่มสอนผู้คนให้ละหมาดวันละห้าเวลาและถือศีลอดในเดือนรอมฎอน มีสาวกบางคนดื่มด่ำในคำสอนของอิสลามจนอยากละหมาดทั้งคืนและจะถือศีลอดตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน และจะไม่แต่งงาน
นบีมุฮัมมัดได้ห้ามสาวกของท่านมิให้ทำเช่นนั้น เพราะนั่นคือความสุดโต่งในการดำเนินชีวิต ท่านให้เหตุผลว่าถึงแม้ตัวท่านเป็นนบีผู้ทำหน้าที่เผยแผ่อิสลาม ท่านก็เป็นมนุษย์ที่มีภรรยา ท่านละหมาดและท่านก็พักผ่อน ท่านถือศีลอดและท่านก็ละศีลอด หากปฏิบัติแบบสุดโต่งอาจเป็นการทรมานตน ไม่สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตประจำวัน นานวันเข้าจะเบื่อและเป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่อาจปฏิบัติได้
เนื่องจากมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตสองโลก คือ โลกนี้และโลกหน้า โลกใบนี้มนุษย์มาอยู่เพื่อไปและโลกหน้ามนุษย์ไปเพื่ออยู่ อิสลามจึงไม่ห้ามการที่มนุษย์จะมีสิ่งดีๆในโลกนี้และในโลกหน้า คำวิงวอนจากคัมภีร์กุรอานตอนหนึ่งที่นบีมุฮัมมัดสอนให้มุสลิมอ่านก็คือ “โอ้พระผู้อภิบาลของเรา โปรดประทานสิ่งที่ดีแก่เราในโลกนี้และโลกหน้า และโปรดคุ้มครองเราให้พ้นจากไฟนรก”
แม้การปฏิบัติศาสนกิจเพื่อแสดงความเคารพสักการะพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญ แต่คำสอนของอิสลามถือว่าการแสดงความเคารพสักการะพระเจ้าที่ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า worship นั้นมิได้จำกัดอยู่แค่การปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น แต่การงดเว้นจากสิ่งที่พระเจ้าห้ามและปฏิบัติตามในสิ่งที่พระเจ้าสั่งใช้ในชีวิตประจำวัน ถือเป็นการแสดงความเคารพสักการะพระเจ้าเช่นกัน และการกระทำเช่นนี้คือความหมายของคำว่า “มุสลิม”
You must be logged in to post a comment Login