วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567

ทำไมจึงต้องท่องบทสวดมนต์ซ้ำๆซากๆ?

On August 5, 2022

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่   5 ส.ค. 65)

ชื่อเรื่องของบทความนี้เป็นหนึ่งในคำถามจากเด็กรุ่นใหม่ที่หลงใหลวิทยาการตะวันตก  เด็กรุ่นใหม่เหล่านี้เข้าใจศาสนาอย่างผิวเผินจากสิ่งที่ตัวเองมองเห็น  บางคนจึงมองศาสนาว่าเป็นเรื่องงมงาย  เป็นเครื่องมือทำมาหากินของคนบางกลุ่ม  หรือเป็นเรื่องของความเชื่อที่ใครจะเชื่อก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้  ก่อนหน้านี้ ลัทธิคอมมิวนิสต์ก็ถือว่าศาสนาเป็นยาเสพติด

เนื่องจากทุกศาสนามีภาษาของตัวเองและใช้ภาษาทางศาสนาในการปฏิบัติพิธีกรรม  เด็กรุ่นใหม่จึงไม่อยากท่องบทสวดมนต์เพราะไม่รู้ความหมาย  ยิ่งมองเห็นบุคลากรทางศาสนาทำผิดศีลธรรมที่สามัญสำนึกของแต่ละคนรับรู้ได้  ปกหนังสือที่น่าเกลียดจึงทำให้เด็กรุ่นใหม่ไม่อยากอ่านเนื้อหาที่อยู่ข้างใน

ศาสนาพิธีกรรมให้ศาสนิกปฏิบัติ  มีบทสวดมนต์ให้ศาสนิกท่อง ถ้าใครเข้าใจจะมองเห็นคุณค่าและความดีงามของศาสนา  ในอิสลามมีคำสอนของนบีมุฮัมมัดว่า “ใครที่พระเจ้าประสงค์จะให้ความดีแก่เขา พระองค์จะให้เขาเข้าใจศาสนา”

ผมตอบคนถามคำถามที่เป็นชื่อเรื่องของบทความนี้โดยการถามกลับไปว่า 12 คูณ 12 ได้เท่าไหร่ เขาตอบผมทันทีว่า 144  ผมถามต่อไปว่าเขารู้ได้อย่างไร  เขาตอบว่าเขาท่องมาตั้งแต่เป็นนักเรียนประถม ได้ทีตรงนี้ ผมก็บอกเขาไปว่าแม้แต่วิชาคณิตศาสตร์  เราก็ต้องอาศัยการท่องจำและกว่าจะจำได้ก็ต้องท่องซ้ำแล้วซ้ำอีก  การท่องจำจึงเป็นวิธีการเก็บผลลัพธ์ไว้ในสมองหรือในใจ  ใครถามขึ้นมาเมื่อใดก็ตอบได้ทันที

อิสลามเป็นเรื่องความสัมพันธ์สองแนว คือ แนวดิ่ง เป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า แนวระนาบเป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งรอบตัวเขาทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต  อิสลามเชื่อว่าถ้ามนุษย์มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า มนุษย์ก็จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสิ่งที่อยู่รอบตัวของเขา

แม้อิสลามจะมีตัวบทกฎหมายที่ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ในทุกด้านและมีบทลงโทษผู้ทำผิด  แต่อิสลามต้องการให้มนุษย์ปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้าด้วยความสมัครใจหรือด้วยความศรัทธา

แต่การจะปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้าได้นั้นจำเป็นต้องมีวิธีการเตือนให้มุสลิมทุกคนระลึกถึงพระเจ้าอยู่เสมอ  นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมในอิสลามจึงกำหนดให้มุสลิมทุกคนต้องละหมาดวันละ 5 เวลา  เพราะการละหมาดเป็นการระลึกถึงพระเจ้าและการระลึกถึงพระเจ้าทำให้จิตใจสงบ  เป็นการสร้างความตระหนักว่าพระเจ้าเฝ้าดูมนุษย์อยู่เสมอ จึงไม่กล้าทำความชั่วเพราะกลัวว่าพระเจ้าจะเห็น  นี่คือมาตรการควบคุมทางด้านวิญญาณที่เป็นผู้บงการการกระทำของมนุษย์ซึ่งระบบกฎหมายสมัยใหม่ไม่มี

การละหมาดเป็นศาสนกิจภาคบังคับที่มีรูปแบบ  เวลา คำอ่านเป็นการเฉพาะ  เป็นหน้าที่สำหรับมุสลิมทุกคน  การละทิ้งหน้าที่นี้เป็นบาปไม่ต่างไปจากการหนีเวรของทหารที่มีความผิดทางวินัย  แม้ไม่ได้ฆ่าใครก็จริง  แต่ถ้าทหารส่วนใหญ่ไร้วินัยในกองทัพ ความวิบัติก็อาจเกิดขึ้นกับประเทศชาติได้

เมื่อละหมาดเสร็จ  มุสลิมได้รับคำแนะนำให้กล่าวคำระลึกถึงพระเจ้าเหมือนท่องสูตรคูณด้วยการกล่าวว่า “ซุบฮานัลลอฮฺ” (มหาบริสุทธิ์ยิ่งคือพระเจ้า) 33 ครั้งเพื่อเตือนว่าตัวเองอาจมีความบกพร่องและทำผิดบ้างเช่นเดียวกับคนอื่น  กล่าว “อัลฮัมดุลิลลาฮฺ” (บรรดาการสรรเสริญเป็นของพระเจ้า) 33 ครั้ง เพื่อเตือนตัวเองให้เอาคำยกย่องเยินยอทั้งหลายที่ตัวเองได้รับให้แก่พระเจ้า  จะได้ไม่หลงอยู่ในคำเยินยอ  กล่าว “อัลลอฮุอักบัรฺ” (อัลลอฮฺยิ่งใหญ่ที่สุด) 33 ครั้ง เพื่อเตือนตัวเองว่าอย่าได้อวดใหญ่อหังการต่อพระเจ้า

ถ้อยคำแห่งการระลึกถึงพระเจ้าดังกล่าวนี้ถูกท่องจนฝังอยู่ในใจ  เมื่อเกิดความตกใจ  คำระลึกถึงพระเจ้าจะกระเด้งจากใจออกมาเป็นคำอุทานแทนคำสบถหรือคำหยาบคาย

นอกจากการละหมาดที่เป็นการสร้างความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับพระเจ้าแล้ว การระลึกถึงพระเจ้ายังสามารถทำได้ในทุกอิริยาบถของการดำเนินชีวิตนอกเวลาละหมาด เช่น  ก่อนกินข้าว มุสลิมจะล้างมือตามคำสอนของนบีมุฮัมมัด การทำตามคำสอนของนบีมุฮัมมัดเท่ากับทำตามพระเจ้าซึ่งได้รับผลบุญตอบแทน  สุขอนามัยจากการล้างมือเป็นผลพลอยได้ที่ตามมา  ก่อนเอาข้าวใส่ปากหรือดื่มน้ำ  มุสลิมจะระลึกถึงพระเจ้าที่ให้อาหารด้วยการกล่าว “บิสมิลลาฮฺ” (ด้วยพระนามของพระเจ้า)  เมื่อกินอาหารเสร็จ มุสลิมจะกล่าวคำว่า “อัลฮัมดุลิลลาฮฺ” เป็นการขอบคุณพระเจ้า

การกล่าวคำระลึกถึงพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกจึงเป็นการสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าและทุกถ้อยคำที่กล่าวออกไป ความเชื่อในพระเจ้าจะยิ่งฝังใจและได้รับผลบุญเป็นรางวัลตอบแทน


You must be logged in to post a comment Login