วันพฤหัสที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2567

Outliers….พวกอัจฉริยะแหกคอก !

On April 26, 2018

บรรยง พงษ์พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) โพสต์ความเห็นผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว Banyong Pongpanich

(26 เมษายน 2016) หไัวข้อ ”

Outliers….พวกอัจฉริยะแหกคอก (กรุณาอย่าทำเครื่องบินเราตกนะครับ)” ดังนี้

เมื่อสองสามวันก่อน ระหว่างนั่งฟังประชุมอยู่ (คนส่วนใหญ่ในที่ประชุมนั้นมีหน้าที่”ฟัง”อย่างเดียวจริงๆครับ …การแสดงความเห็นไม่เป็นที่นิยม …การคัดค้านยิ่งเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ) ใจผมก็เลยเกิดแว่บสมาธิหลุด ไพล่ไปคิดถึงบทหนึ่งในหนังสือ Outliers : The Story of Success ของ Malcolm Gladwell ที่โด่งดังเป็นBest Sellers ในช่วงประมาณสิบปีที่แล้ว

เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ…..

ในบทที่เจ็ด (Chapter 7 : The Ethnic Theory of Plane Crash) Gladwellวิเคราะห์อธิบายถึงสาเหตุที่เครื่องบินพาณิชย์ของเกาหลีใต้เกิดอุบัติเหตุตกบ่อยในช่วงทศวรรษ80’s และ90s ทั้งๆที่สภาพเครื่องบินก็ใหม่ ทันสมัย สภาพอากาศที่เผชิญก็ไม่เลวร้ายมากจนน่าจะเกิดอุบัติเหตุ (เช่น Korean Air Flight 801 ที่ตกที่เกาะกวม เมื่อ 6 สค. 97) สรุปเลยว่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องของHuman Errors เป็นความบกพร่องของนักบิน

พอวิเคราะห์ลงไปลึกๆ จากการสื่อสารในช่วงก่อนเครื่องบินตก ระหว่างCockpitกับหอบังคับการบิน และการสื่อสารในCockpitกันเอง ก็เลยพบว่า “วัฒนธรรม”(Culture) มีส่วนอย่างมากในการทำให้เกิดข้อผิดพลาด จนเกิดหายนะใหญ่หลวงขนาดเครื่องบินตกขึ้นมา กล่าวคือ วัฒนธรรมของเหล่านักบินเกาหลีในขณะนั้นเป็นวัฒนธรรมแบบทหาร(ก็เกาหลีเคยเป็นรัฐทหารมานานนี่ครับ) ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่เรียกว่า “high power-distance culture” ที่ผู้น้อย ผู้ใต้บังคับบัญชา จะให้ความเคารพผู้บังคับบัญชา ผู้ใหญ่ ผู้อาวุโส อย่างเคร่งครัด อย่างมากจนเกินเลย …ไม่เคยกล้าขัด ไม่กล้าโต้แย้ง ไม่กล้าแม้จะเสนอความเห็นที่แตกต่าง ไม่เสนอความเห็นที่กลัวจะไม่เป็นที่พอใจ หรือถ้าจะเสนออะไรที่ไม่แน่ใจว่าก้าวล่วงความเห็นผู้นำก็อ้อมค้อมเสียจนบางทีฟังไม่รู้เรื่อง …ผู้นำพูดอะไร สั่งอะไร ทั้งๆที่เห็นชัดๆว่าไม่ถูกต้อง ไม่ได้มีความเข้าใจ แต่ก็ไม่กล้าทักท้วง แถมส่วนใหญ่ก็ทำตามไปเลยซะอีก

ที่ทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงอีก ก็เป็นเพราะเครื่องบินรุ่นใหม่ๆมักจะถูกออกแบบไว้สำหรับ”low power-distance culture”ซึ่งหมายถึง กัปตัน นักบินผู้ช่วย และช่างเทคนิคการบิน จะต้องทำงานร่วมกัน ร่วมมือกันมากขึ้นโดยเฉพาะในสถานการณ์ไม่ปกติ ต้องปรึกษาหารือกัน ไม่ใช่รับคำสั่งในแนวตั้งแต่อย่างเดียว …ซึ่งเรื่องนี้ก็เหมือนกับการบริหารองค์กร บริหารบ้านเมืองในปัจจุบัน ที่มีความซับซ้อน มีเงื่อนไขยุ่งยากมากขึ้น เกินที่ผู้นำคนเดียวจะรู้รายละเอียดความซับซ้อนได้ทั้งหมด ต่อให้หวังดี ตั้งใจดี และขยันสักเพียงใด ก็ไม่มีทางที่จะล่วงรู้ตัดสินใจถูกในรายละเอียดได้ด้วยลำพังตนไปทุกเรื่อง จำเป็นจะต้องรับฟังความเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องให้มาก และให้ครบทุกด้าน ซึ่ง high power-distance culture จะไม่ส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศแบบนั้น ทั้งนี้ไม่ได้เป็นความผิดของทั้งผู้นำหรือผู้ตามโดยเฉพาะ แต่มันเป็นวัฒนธรรมความคุ้นชินของบางสังคม บางหมู่เหล่า

เรื่องปัญหาที่ทำให้เครื่องบินตกแบบนี้ ไม่ได้เกิดแต่กับสายการบินเกาหลีเท่านั้น …กรณีเครื่องบินของสายการบินโคลัมเบีย Avianca Flight 052 ที่บินวนจนนำ้มันหมดตกที่JFK นิวยอร์ค เมื่อ 25 มค.1990 ก็มีสาเหตุทำนองเดียวกัน กล่าวคือ นักบินชาวโคลัมเบีย ที่มีวินัยเหล็กแบบทหารเช่นกัน ไม่ได้สื่อสารให้เด็ดขาดมากพอว่าปริมาณนำ้มันไม่พอแล้ว พอหอการบินJFKซึ่งขึ้นชื่อว่าค่อนข้างกักขละหยาบคายสั่งให้บินวนต่อก็ไม่กล้าเถียง ดันทำตามบินวนจนเครื่องตกตายไปครึ่งลำ (79 คน) …ฟังดูไม่น่าเชื่อเลยนะครับ (นี่ถ้าเป็นนักบินฝรั่งไอ้กัน มันคงเถียงด่าโวยวายอุตลุต แล้วก็ดื้อเอาเครื่องลงจนได้ ไม่ยอม”สละชีพเพื่อคำสั่งนาย”อย่างนี้แน่)

เรื่องปัญหาเครื่องบินที่เล่ามานั้น วันนี้มันกลายเป็นอดีตไปแล้วครับ เพราะพอปี 2000 ทางการเกาหลีก็พบปัญหานี้ มีการแก้ปัญหาอย่างเป็นกระบวนการ มีRetrainกันอย่างหนัก ละลายพฤติกรรม ละลายวัฒนธรรมเก่าๆไปจนหมด จนเดี๋ยวนี้สายการบินเกาหลีมีสถิติความปลอดภัยสูงระดับต้นๆแบบนี้ ไม่ปล่อยให้ผู้นำพาเราลงเหวไป …ทั้งๆที่ตั้งใจดี …ทั้งๆที่ขยันขันแข็ง …ทั้งๆที่ฉลาดเฉลียว …ทั้งๆที่ซื่อสัตย์สุจริต เพราะทั้งสี่ทั้งๆที่ว่ามานั้น มันยังไม่พอพาเครื่องบินลำนี้ผ่านมรสุมใหญ่ไปได้หรอกครับ (ขอเรียนว่า ปัญหานี้ไม่ได้เพิ่งเกิดกับผู้นำปัจจุบันนะครับ ในแวดวงการเมืองปกติก็มีปัญหานี้ตลอดมา ผู้นำหัวโต๊ะมักทำตัวรู้ดีที่สุดทุกเรื่อง สั่งรายละเอียดทุกอย่าง จนเป็นวัฒนธรรมการปกครองการบริหารประเทศไปแล้ว)

ช่วยกันแก้ ช่วยกันแย้ง ช่วยกันปรับ …อย่าทำเครื่องบินเราตกเลยนะครับ….


You must be logged in to post a comment Login