วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567

คนดีชอบแก้ไข! / โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

On November 3, 2016

คอลัมน์ : โดนไป บ่นไป
ผู้เขียน : น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

ข้าวเปลือกฤดูกาลปัจจุบันมีราคาตกต่ำอย่างน่าใจหาย วันที่ผมเขียนบทความยังไม่มีมาตรการช่วยเหลือใดๆจากรัฐบาล มีแต่ท่านโฆษกทั้งหลายเรียงหน้ากันออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า รัฐบาลต้องมีมาตรการในการช่วยเหลือชาวนาอย่างแน่นอน ส่วนจะใช้วิธีการแบบไหนนั้น พวกเราต้องติดตามดูกันต่อไป แต่ที่แน่ๆใครจะเชื่อว่าวันนี้ขายข้าวเปลือก 1 กิโลกรัม สามารถซื้อบะหมี่สำเร็จรูปได้แค่ซองเดียวเท่านั้น

ผมไม่แปลกใจว่าทำไมขณะนี้ข้าวเปลือกถึงมีราคาตกต่ำ เพราะราคาพืชผลการเกษตรต่างๆจะดีหรือไม่ดีนั้นล้วนขึ้นอยู่กับจำนวนผลผลิตและความต้องการของตลาด ตราบใดที่ผลผลิตมีอยู่เหลือเฟือและหาได้ง่าย หรือเมื่อสินค้าแปรรูปของผลผลิตนั้นๆมีราคาถูกหรือถูกบิดเบือนราคาให้ต่ำกว่ากลไกตลาด เมื่อนั้นมูลค่าของผลผลิตย่อมมีราคาถูกตามไปด้วย

สำหรับสาเหตุที่ทำให้ราคาข้าวเปลือกตกต่ำที่ท่านผู้นำสูงสุดและเหล่าบริวารออกมาฟันธงและให้สัมภาษณ์ด้วยความมั่นใจอาจจะแตกต่างจากเหตุผลของผมและผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นไม่น้อย เพราะท่านผู้นำและบริวารต่างเชื่อว่าข้าวราคาตกต่ำเกิดจากการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งร่วมมือกันระหว่างนักการเมืองในพื้นที่กับโรงสีบางโรงสีกำหนดราคาให้ต่ำเพื่อบิดเบือนกลไกตลาดเพื่อทำให้ชาวนาเดือดร้อน และใช้สาเหตุดังกล่าวเป็นประเด็นสำคัญให้ประชาชนเกิดการต่อต้านหรือขัดแย้งรัฐบาลต่อไป

ช่างคิดช่างจินตนาการซะจริงๆ โชคดีที่ผมเป็นคนชอบรับประทานข้าว จึงไม่เชื่อสิ่งที่ท่านออกมาชี้แจงเลย เพราะท่านถืออำนาจรัฏฐาธิปัตย์อยู่ในมือ หากมีนักการเมือง โรงสี หรือใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังจริงตามที่ท่านชี้แจง ป่านนี้คงไปนอนยิ้มอยู่ในลูกกรงแล้ว แต่สาเหตุที่ผมคิดว่าน่าจะใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุดที่ทำให้ข้าวเปลือกราคาตกต่ำเป็นประวัติการณ์และผู้เชี่ยวชาญเรื่องข้าวหลายท่านแสดงความเห็นและชี้ประเด็นไว้คือ การระบายข้าวสารเก่าออกจากสต็อกของรัฐบาลนั่นเอง

การระบายข้าวช่วงก่อนมีการเก็บเกี่ยวย่อมมีผลกระทบโดยตรงกับราคาข้าวเปลือกที่ออกใหม่ในฤดูกาลปัจจุบันทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน ที่สำคัญคือ รัฐบาลขายข้าวให้กับพ่อค้าในราคาประมูลที่ถูกมาก ดังนั้น ข้าวสารเก่าคุณภาพดีแต่ต้นทุนต่ำจึงมีเหลืออยู่ในท้องตลาดมากมาย ส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกออกใหม่ดิ่งลงเหวอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

ผมสอบถามเพื่อนๆที่อยู่ในวงการข้าวหลายคนได้คำตอบที่ตรงกันว่า ราคาประมูลข้าวจากสต็อกของรัฐบาลมีราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 8 บาท ในขณะที่โรงสีขายข้าวสาร 5% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 11 บาท สาเหตุที่โรงสีไม่สามารถขายข้าวได้ราคาสูงกว่านี้ เพราะติดราคาต้นทุนที่พ่อค้าข้าวประมูลมาจากรัฐบาล ดังนั้น โรงสีทั้งหลายจึงต้องยอมปล่อยให้ราคาข้าวเป็นไปตามกลไกตลาด และปล่อยให้พ่อค้าข้าวฟันกำไรต่อจากผู้บริโภคอย่างสนุกสนานต่อไป ในขณะที่ข้าวเปลือกของชาวนาราคาร่วงต่ำติดดิน

ผมขออนุญาตนำราคามาตรฐานของโรงสีและกระบวนการต่างๆมาชี้แจงให้ท่านผู้อ่านมองเห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้นดังนี้ ตามปรกติเมื่อโรงสีสีข้าวเปลือกจะมีผลผลิตออกมาทั้งสิ้น 4 ชนิดได้แก่ ข้าวสาร ปลายข้าว รำข้าว และแกลบ โดยราคาวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 พบว่าข้าวสาร 5% ราคากิโลกรัมละ 11.30 บาท ปลายข้าวราคากิโลกรัมละ 10.30 บาท รำข้าวราคากิโลกรัมละ 7 บาท และแกลบราคากิโลกรัมละ 1.20 บาท

ถ้าโรงสีรับซื้อข้าวเปลือกเจ้าที่ความชื้น 15% ในราคาต้นทุนจากชาวนาเกวียนละ 7,500 บาท และนำมาแปรรูป โรงสีจะได้ข้าวสาร 5% 480 กิโลกรัม ปลายข้าว 180 กิโลกรัม รำข้าว 70 กิโลกรัม และแกลบ 270 กิโลกรัม ถ้าขายออกโดยใช้ฐานราคาวันที่ 1 พฤศจิกายน โรงสีจะได้เงินทั้งสิ้น 8,092 บาท หักค่ากระสอบป่านที่นำมาใส่อีก 165 บาท หักกลบลบหนี้แล้วโรงสีจะมีค่าแปรสภาพเหลือเพียงเกวียนละ 427 บาทเท่านั้น

ผมนำเรื่องนี้มาบ่นให้ฟัง เพราะคนที่เดือดร้อนที่สุดคือ “ชาวนา” ส่วนผมและท่านผู้อ่านคงไม่ได้รับประทานข้าวถูกลง เพราะข้าวสารที่เราซื้อมารับประทานทุกวันนี้ยังขายในราคาเท่าเดิม หากเราพิจารณาวงจรและกระบวนการของข้าวตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำจะพบว่าผู้ที่อยู่ในกระบวนการต้นน้ำคือชาวนาเสียเปรียบและขาดทุนมากที่สุด ขณะที่พ่อค้าข้าวซึ่งอยู่ปลายน้ำจะมีกำไรและได้เปรียบมากที่สุด

ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของรัฐโดยแท้ที่จำเป็นต้องกำหนดมาตรการเพื่อสร้างความสมดุลให้กับทุกคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียในวงจรข้าวอย่างเสมอกัน วันนี้เราเห็นความจริงชัดเจนแล้วว่าชาวนาขายข้าวเปลือกได้กิโลกรัมละ 5-6 บาท โรงสีขายข้าวสาร 5% ได้กิโลกรัมละ 11.30 บาท แต่กลุ่มพ่อค้าข้าวสามารถประมูลข้าวจากรัฐในราคาถูกกว่าในท้องตลาด และยังมีข้าวต้นทุนต่ำรอให้เข้ามาช้อนซื้ออีกจำนวนมหาศาล ขณะที่ผู้บริโภคอย่างเรายังต้องซื้อข้าวจากห้างมารับประทานในราคาที่แพงกว่าต้นทุนหลายเท่า

รายละเอียดชัดเจนอย่างนี้แล้ว หวังว่าท่านคงรีบแก้ไขให้ตรงจุด การแก้ไขปัญหาเบื้องต้นที่ท่านควรทำมากที่สุดคือ การแทรกแซงราคาหรือการรับจำนำข้าวเปลือกที่คนไทยนิยมบริโภคเสียก่อนตามปรกติ แล้วข้าวเจ้ามีหลายเกรด หลายราคา และหลายสายพันธุ์ การจะทำให้ราคาเป็นมาตรฐานนั้น ท่านต้องให้ความสำคัญกับราคาข้าวหอมมะลิก่อน

ข้าวหอมมะลิเปรียบเหมือนรถพรีเมียมราคาแพง ข้าวชนิดอื่นๆเหมือนรถตลาดที่มีราคาลดหลั่นกันลงมาตามลำดับ หากปล่อยให้รถพรีเมียมใหม่เอี่ยมมีราคาตกลงมาเท่ากับราคารถตลาด คงไม่มีผู้บริโภคคนไหนอยากซื้อรถตลาดมาใช้อย่างแน่นอน ราคารถก็จะตกลงไปทั้งระบบ เช่นเดียวกับราคาข้าว ถ้ารัฐบาลไม่มีมาตรการในการแทรกแซงราคาและปล่อยให้ข้าวหอมมะลิมีราคาตกลงมาจากฐานปรกติ ข้าวชนิดอื่นๆก็จะมีราคาตกต่ำตามลงไปด้วย และถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนั้นเหมือนที่ผ่านมาโดยไม่มีการแทรกแซงหรือแก้ไขก็จะทำให้การจัดการราคาข้าวทั้งระบบกระทำไม่ได้ หรือทำได้แต่ยากมากขึ้นอีกหลายเท่า

เรื่องการแก้ไขปัญหาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำนั้น ผมยืนยันว่าการที่รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงราคา ไม่ว่าจะเป็นการรับจำนำหรือการประกันราคาก็แล้วแต่ ถือเป็นวิธีการสากลที่นานาอารยประเทศเขาก็ทำกันทั้งนั้น ผมอยากให้ผู้มีอำนาจในประเทศนี้ยอมกลืนน้ำลายตัวเองแล้วยอมรับว่าการแก้ปัญหาของรัฐบาลเลือกตั้งที่ผ่านมาแต่ละรัฐบาลเขามีแนวทางและวิธีการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องแล้ว และอยากให้ท่านยอมรับว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้เกิดจากการบริหารที่ผิดพลาดและไม่เข้าใจในปัญหานั่นเอง

รีบแก้ไขปัญหาตามวิธีสากลกันดีกว่า เพราะผมเชื่อว่า “คนดีเท่านั้นที่ชอบแก้ไข” แต่การออกมาแก้ตัวและชอบโยนความผิดให้กับนักการเมืองมันไม่ใช่วิสัยของชายชาติทหารครับ


You must be logged in to post a comment Login