วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2567

คนไทยระวัง! “มะเร็งตับ”คร่าชีวิตมากที่สุด

On November 22, 2019

คอลัมน์ : โลกสุขภาพ

ผู้เขียน : นพ.กนกพจน์ จันทร์ภิวัฒน์ โรงพยาบาลราชวิถี

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่  22-29 พฤศจิกายน 2562)

“มะเร็งตับ” เป็นโรคที่มีความสำคัญที่พบได้บ่อยในประชากรทั่วโลก และเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้มากที่สุดอีกโรคหนึ่ง ซึ่งคร่าชีวิตคนไทยมานานแล้ว ปัจจุบันมะเร็งตับพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง สาเหตุสำคัญมาจากไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และภาวะอ้วน หากตรวจพบช้ามีโอกาสเสียชีวิตภายในไม่กี่เดือน ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับในระยะแรกมักไม่ค่อยมีอาการแสดง กว่าจะได้รับการวินิจฉัยครั้งแรกก็มักอยู่ในระยะท้ายของโรคแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญต้องรู้เท่าทัน-หมั่นตรวจเช็ก-ดูแลสุขภาพตัวเองและคนใกล้ชิด

จากสถานการณ์ในปัจจุบันโรคมะเร็งถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของไทย ซึ่งข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุขพบว่า คนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งประมาณ 60,000 คนต่อปี หรือเฉลี่ยชั่วโมงละเกือบ 8 ราย โดยมีสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง 5 อันดับแรก ได้แก่ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก และมะเร็งปากมดลูก จากสถิติมะเร็งตับพบมากเป็นอันดับ 1 ในเพศชาย และอันดับ 3 ในเพศหญิง

“ตับ” เป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยกำจัดสารพิษและของเสีย ผลิตน้ำดีในการย่อยอาหาร ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สร้างและเก็บสะสมแป้งและไขมันเพื่อเป็นพลังงาน รักษาสมดุลในร่างกาย ดังนั้น เมื่อเซลล์บริเวณตับมีลักษณะหรือการทำงานผิดปกติแล้วพัฒนาเป็นมะเร็งในที่สุด ซึ่งมักเกิดจากการที่ตับอักเสบพัฒนาไปเป็นตับแข็ง และเซลล์ตับแข็งพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็งตับ ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับมักไม่แสดงอาการจนกว่าจะมีขนาดใหญ่ขึ้น มีการแพร่กระจาย และมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆของโรคมะเร็งตับ ซึ่งเป็นระยะที่ยากต่อการรักษา

สาเหตุของมะเร็งตับ เกิดจากภาวะตับแข็งที่มาจากสาเหตุต่างๆ ได้แก่ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเรื้อรังทั้งบีและซี การดื่มแอลกอฮอล์ ไขมันเกาะตับ โรคเบาหวาน โรคอ้วน ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคมะเร็งตับได้ โดยโรคมะเร็งตับมักไม่มีสัญญาณหรืออาการบ่งบอกในระยะแรก จนพัฒนาถึงขั้นแสดงอาการจึงจะสังเกตได้ดังนี้คือ

  • น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ไม่อยากอาหาร รู้สึกอิ่มแม้รับประทานไปเพียงเล็กน้อย
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • เจ็บช่องท้องส่วนบน โดยมักจะปวดบริเวณด้านขวา
  • มีอาการบวมที่ช่องท้อง หรือคลำพบก้อนใต้ชายโครงด้านขวา เนื่องจากตับโต
  • คลำพบก้อนที่ชายโครงด้านซ้าย เนื่องจากม้ามโต
  • ผิวหนังและตาเหลือง (ดีซ่าน)
  • อุจจาระอาจมีสีซีดลง
  • อ่อนแรงและเหนื่อยล้า
  • อาการคันตามร่างกาย
  • ไข้เรื้อรัง

 

การวินิจฉัยก่อนที่จะสาย การตรวจมะเร็งตับสามารถทำได้หลายวิธีคือ

  • การตรวจเลือดเพื่อตรวจมะเร็งตับ เป็นวิธีตรวจหาค่าโปรตีนที่ผลิตจากเนื้องอกตับ สามารถตรวจหามะเร็งตับในผู้ป่วยได้ถึง 70% โดยผู้ป่วยโรคมะเร็งตับจะมีค่ามะเร็งตับ (AFP) สูงกว่าปกติ
  • การถ่ายภาพตับ การวินิจฉัยด้วยเครื่องอัลตราซาวน์ เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือซีทีสแกน (CT scan) หรือเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
  • การเจาะชิ้นเนื้อตับ ทำได้โดยการเก็บตัวอย่างจากก้อนที่สงสัยที่ตับเพื่อส่งตรวจเพิ่มเติมว่าจะเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่ ในกรณีที่ผลตรวจการถ่ายภาพและการตรวจทางห้องปฏิบัติการระบุแน่นอนแล้วว่าเป็นมะเร็งตับก็ไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องเจาะชิ้นเนื้อตับเพื่อตรวจอีก

การรักษาโรคมะเร็งตับ แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการรักษาที่ทำได้ โดยพิจารณาจากสุขภาพของผู้ป่วย ระยะของโรคมะเร็งตับ ขนาดของก้อนมะเร็ง จำนวนของก้อนมะเร็ง ค่าการทำงานของตับ โดยมีวิธีการรักษาดังต่อไปนี้

  • การผ่าตัด ในระยะเริ่มแรกเมื่อเนื้องอกยังมีขนาดเล็กและอยู่ในส่วนเล็กๆของตับ การรักษาสามารถทำได้โดยการผ่าตัดเอาเนื้อส่วนที่มีมะเร็งออก หรือตัดตับบางส่วน
  • การผ่าตัดเปลี่ยนตับ วิธีนี้สามารถใช้รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งตับระยะเริ่มแรกที่มีเนื้องอกขนาดเล็กและมีจำนวนไม่มาก
  • รังสีรักษา การรักษาด้วยการฉายรังสีพลังงานสูง เช่น รังสีเอกซเรย์และโปรตอน ตรงไปยังเซลล์เพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง และทำให้เนื้องอกหดตัวเล็กลง
  • เคมีบำบัด การให้ยารับประทานหรือฉีดยาฆ่าเซลล์มะเร็งไปยังหลอดเลือดดำหรือหลอดเลือดแดง
  • Ablative Therapy การฆ่าเซลล์มะเร็งโดยการฉีดสารเข้าไปที่เนื้อร้ายโดยตรง สารที่ใช้ฉีดอาจเป็นความร้อน เลเซอร์ กรด หรือแอลกอฮอล์ชนิดพิเศษ หรืออาจใช้คลื่นวิทยุก็ได้
  • การให้ยาเจาะจงเซลล์มะเร็ง เป็นวิธีการใช้ยาเพื่อชะลอหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งตับ โดยเจาะจงกับเซลล์ที่มีความผิดปกติมากขึ้นกว่าการทำเคมีบำบัดทั่วไป

การป้องกันโรคมะเร็งตับ โดยลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งตับ โรคตับแข็งที่สัมพันธ์กับมะเร็งตับ การป้องกันมะเร็งตับจึงควรลดปัจจัยที่นำไปสู่โรคตับแข็งด้วย เช่น งดดื่มแอลกอฮอล์ หมั่นออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนักไม่ให้มากเกินไปโดยรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปริมาณไขมันที่บริโภค และการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบซี การป้องกันทำได้ด้วยการฉีดวัคซีน ส่วนไวรัสตับอักเสบซีในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีน เพื่อป้องกันการติดเชื้อควรหลีกเลี่ยงการติดต่อเชื้อทั้ง 2 ชนิดจากผู้อื่น ทำได้โดยการสร้างสุขอนามัยที่ดี เช่น ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่เสี่ยงติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี ไม่ใช้เข็มฉีดยาหรือเข็มที่ใช้สักลายตามร่างกายร่วมกับผู้อื่น

ทั้งนี้ มะเร็งตับไม่ใช่โรคไกลตัวอย่างที่หลายคนเข้าใจ นอกจากการดูแลสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆแล้วนั้น การตรวจสุขภาพเป็นประจำคือสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการตรวจไวรัสตับอักเสบบีและซี รวมถึงเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งตับได้เป็นอย่างดี

โรงพยาบาลราชวิถีรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งและมีผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ส่งต่อมาจากโรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศจำนวนมาก แต่ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่ บุคลากรทางการแพทย์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งที่จำเป็นต้องรักษาอาจต้องรอคิวการรักษายาวนาน ซึ่งการรอเพื่อรับการรักษาในผู้ป่วยโรคมะเร็งเหล่านี้เป็นปัญหาสำคัญ หากผู้ป่วยได้รับการรักษาเร็วก็มีโอกาสที่จะหาย สามารถกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดี

ดังนั้น จึงขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านมาร่วมต่อชีวิตให้กับผู้ป่วยที่รอโอกาสทางการรักษาโรคมะเร็งใน กองทุนพิชิตมะเร็ง มูลนิธิ รพ.ราชวิถีโดยสามารถร่วมบริจาคได้ที่บัญชี “มูลนิธิโรงพยาบาลราชวิถี” หมายเลขบัญชี 0512163221 ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาโรงพยาบาลราชวิถี หรือสอบถามโทร.0-2354-7997-9 หรือ www.rajavithifoundation.com

 


You must be logged in to post a comment Login