วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567

เครียดเกินไป หรือกำลังเข้าสู่ภาวะหมดไฟในการทำงาน

On November 1, 2019

คอลัมน์ : โลกสุขภาพ

ผู้เขียน : นพ.อโณทัย สุ่นสวัสดิ์ จิตแพทย์ ศูนย์จิตรักษ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่  1-8 พฤศจิกายน 2562)

ภาวะหมดไฟในการทำงาน หรือ Burnout Syndrome ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่าเป็นอาการป่วยที่มีผลมาจากความเครียดเรื้อรังในสถานที่ทำงาน และควรได้รับการดูแลจากแพทย์ก่อนที่จะรุนแรงและคุกคามการใช้ชีวิต ดังนั้น การหมั่นสังเกตสัญญาณอาการและรู้เท่าทันโรคจะช่วยให้รับมือได้อย่างถูกวิธีก่อนสายเกินไป ซึ่งอาจส่งผลให้เป็นโรคทางสมอง หรือบางรายอาจเป็นโรคซึมเศร้าได้

ภาวะหมดไฟในการทำงานคือภาวะหนึ่งที่เกิดจากการเผชิญกับความเครียดในที่ทำงานเป็นระยะเวลายาวนาน เป็นภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจที่เป็นผลมาจากความเครียดเรื้อรังในที่ทำงานและไม่ได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ จนขาดแรงจูงใจ หดหู่ ไม่มีสมาธิในการทำงาน ลามไปจนประสิทธิภาพในการทำงานลดลง นอกจากนี้ยังเป็นภาวะที่ทำให้คนคนนั้นสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าตามมาได้

Burnout Syndrome แบ่งลักษณะอาการออกเป็น 3 กลุ่มคือ 1.ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ รู้สึกหมดพลัง 2.มีทัศนคติเชิงลบต่อความสามารถในการทำงานของตนเอง ขาดความเชื่อมั่นในความสำเร็จ 3.ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง คนไข้จะรู้สึกว่าตัวเองทำงานได้ไม่เหมือนเดิม ทำงานได้ไม่ดี ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ความสัมพันธ์ในที่ทำงานเหินห่างหรือเป็นไปทางลบทั้งกับผู้ร่วมงานและลูกค้า ซึ่งความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้เป็นปัจจัยสุ่มเสี่ยงที่บอกว่ากำลังเข้าสู่ภาวะ Burnout Syndrome

อาการ Burnout Syndrome เบื้องต้นสามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง เช่น หากรู้สึกว่าทำงานมากเกินไปควรหันมาให้เวลากับตัวเองมากขึ้น อาทิ ออกกำลังกาย ทานอาหารตามเวลา หาเวลาไปท่องเที่ยวพักผ่อน อาจสร้างตารางชีวิตประจำวันใหม่ให้มีความหลากหลายในการใช้ชีวิตมากขึ้น แต่สิ่งที่ยากคือความร่วมมือในระดับองค์กร โดยองค์กรต้องตระหนักว่า Burnout Syndrome เป็นสิ่งสำคัญ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งคนทำงานและองค์กร การจัดการภาวะหมดไฟในการทำงานคือ ไม่ทำงานหักโหมมากเกินไป ไม่นำปัญหาที่ทำงานสะสมไปที่บ้าน เปิดใจฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ยอมรับในความแตกต่าง รู้จักขอความช่วยเหลือและปฏิเสธอย่างเหมาะสม พักผ่อนให้เพียงพอ มองหาที่ปรึกษาที่รับฟังและแนะนำได้ หรือปรึกษาแพทย์

ในส่วนของโรคซึมเศร้า เกิดจากความไม่สมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง ซึ่งมีองค์ประกอบทางชีววิทยาค่อนข้างมาก การให้ยาเป็นการปรับสมดุล โรคซึมเศร้าจะโจมตีตัวตน ทำให้คนคนนั้นรู้สึกไม่มีแรง ไม่อยากทำงาน รู้สึกไม่เป็นคนเดิม บางครั้งความยากไม่ได้อยู่ที่คนไข้แต่อยู่ที่สิ่งรอบข้างคนไข้ด้วย เช่น ญาติพี่น้อง สามี ภรรยา สิ่งแวดล้อม รวมถึงที่ทำงาน เพราะคนเป็นโรคซึมเศร้ามุมมองต่อโลกจะลบในทุกด้านที่ต้องใช้ความเข้าใจค่อนข้างมาก ความยากอีกเรื่องหนึ่งคือ การตระหนักรู้ว่าเกิดปัญหาขึ้นแล้ว คนไข้ควรมาโรงพยาบาล มาพบแพทย์ มาค้นหาต้นเหตุที่ทำให้ไม่สามารถกลับไปทำงานได้ ซึ่งต้องแก้ไปทีละจุด ต้องอาศัยความเข้าใจว่าโรคซึมเศร้าสามารถเป็นได้ แต่ก็รักษาได้เช่นกัน

ทุกวันนี้คนไทยจำนวน 1 ใน 5 มีทุกข์ เป็นทุกข์ที่ส่งผลกระทบไปทั้งทางกายและจิตใจ บางคนไม่รู้ว่าจะต้องหันหน้าไปพึ่งใคร ไม่ว่าจะเป็นคนที่กำลังทุกข์ทรมานด้วยโรคซึมเศร้า โรคไบโพลาร์ ภาวะหมดไฟในการทำงาน โรควิตกกังวล หรือคนไข้ที่เป็นโรคเรื้อรังบางอย่าง เช่น stroke (หลอดเลือดสมอง) อัมพฤกษ์ อัมพาต มะเร็ง โรคปอด ลมชัก ผู้สูงอายุที่เป็นโรคสมองเสื่อม พาร์กินสัน เป็นต้น คนไข้เหล่านี้อาจต้องเผชิญภาวะเครียดกับโรคที่เป็นอยู่ สิ่งสำคัญคือกำลังใจในการต่อสู้กับโรคที่เกิดขึ้น

ศูนย์จิตรักษ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ มีกิจกรรมบำบัดเพื่อการดูแลและฟื้นฟูสุขภาพจิต (Psychosocial Rehabilitation) ประกอบด้วยจิตบำบัดหลากหลายรูปแบบ ทั้งรูปแบบรายกลุ่มและรายบุคคล โดยบุคลากรที่มีประสบการณ์ กิจกรรมถูกออกแบบให้ตรงกับความต้องการและความถนัดของแต่ละคน ตัวอย่างการทำกิจกรรมบำบัด อาทิ 1.อาหารบำบัด (Cooking therapy) เป็นการใช้ทักษะ สมาธิในแต่ละขั้นตอน ให้คนไข้อยู่กับตัวเอง และจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า 2.การเคลื่อนไหวบำบัด (Dance&Movement therapy 3.ดนตรีบำบัด (Music therapy) 4.โยคะบำบัด (Yoga therapy) 5.ศิลปะบำบัด (Art therapy) 6.ละครบำบัด (Drama therapy) การนำศาสตร์ของละคร อาจเป็นบทบาทหรือการเคลื่อนไหวต่างๆ มาทำความเข้าใจกับอารมณ์และความรู้สึก เป็นการเปิดโอกาสให้เกิดการเรียนรู้ เติมเต็มความสุข หลายกิจกรรมยังช่วยให้ค้นหาศักยภาพและคุณค่าในตนเองเพื่อการใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข

โดยมีแพทย์และทีมสหวิชาชีพคอยดูแลการทำกิจกรรมที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน อาทิ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่มีอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต อ่อนแรง ไม่สามารถขยับหรือใช้งานร่างกายได้ดีเหมือนเดิม การทำกายภาพบำบัดและการกินยาเป็นเรื่องสำคัญ แต่การรักษาอาการให้ดีขึ้นในระยะยาวคือ ทำอย่างไรให้คนไข้อยู่ได้กับตัวตนของเขาในแบบใหม่ การให้ยาอาจช่วยให้อาการทางกายไม่กลับมาเป็นซ้ำ แต่คนไข้ไม่สามารถควบคุมแขนขาได้ดีเหมือนเดิม ฉะนั้นการรักษาทางใจควบคู่ไปกับทางกายจึงเป็นเรื่องสำคัญ

การนำกิจกรรมเข้ามาบำบัดทำให้คนไข้สามารถอยู่กับร่างกายตัวเองได้มากขึ้น ควบคุมการเคลื่อนไหวต่างๆได้มากขึ้น ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองคนหนึ่งอาจต้องการฟื้นฟูตนเองเพียงขอแค่ตักอาหารรับประทานเองให้ได้เป็นอันดับแรก การทำกิจกรรมบำบัดต่างๆควบคู่ไปกับการทำกายภาพบำบัดสามารถช่วยให้คนไข้เริ่มตักอาหารรับประทานเองได้ เพียงเท่านี้ก็เป็นเหมือนความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่คนไข้สามารถทำได้ หรือคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง โรคอาจยังไม่หาย แต่ทำอย่างไรให้คนไข้อยู่กับโรคได้อย่างมีความสุข ไม่เครียด ให้เข้าใจมากขึ้น คนที่เป็นมะเร็งจะมีความเจ็บปวดจากอาการของโรค อารมณ์ไม่ค่อยดี อาการเหล่านี้เป็นความเจ็บที่เรื้อรัง การให้คนไข้มาอยู่ในพื้นที่บำบัด เช่น Cooking therapy ได้มาทำกับข้าว อบขนม กับญาติที่ดูแลหรือคนใกล้ชิด จากเดิมที่อาจทะเลาะกันกลายเป็นว่าคนไข้สามารถใช้เวลาในพื้นที่บำบัด 1-2 ชั่วโมงตรงนั้นในการทำขนม ได้มีสมาธิกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากกว่าไปพะวงกับความเจ็บปวดจากอาการของโรคที่เป็นอยู่ ก็ช่วยให้คนไข้รู้สึกดีขึ้นระหว่างทำกิจกรรม ซึ่งความรู้สึกดีๆตรงนั้นมีค่ามาก และคนไข้เองก็สามารถหยิบเอาความรู้สึกดีๆนั้นนำกลับไปใช้ต่อที่บ้านได้ เป็นการเยียวยาสภาพจิตใจได้อีกทางหนึ่ง


You must be logged in to post a comment Login