วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567

“วิษณุ”แจงเงินรัฐบาลรับบริจาคเดินแจกแบบ”บิณฑ์”ไม่ได้

On September 19, 2019

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย กล่าวถึงเกณฑ์การใช้เงินที่ได้รับบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยไม่กระทบต่อกฎหมายว่า การที่เอกชนหรือใครก็ตาม แม้กระทั่งนายบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ลงไปช่วยเหลือนั้นเป็นเรื่องดี ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบอะไร แต่เงินที่ได้รับบริจาคเข้ากองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยของรัฐบาลนั้นมีระเบียบตายตัว มีกรอบของมันอยู่ ต้องตรวจสอบความเสียหาย รายงานผ่านทางจังหวัดและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)

“อยู่ดีๆจะไปถือเงินแจก ทำอย่างนั้นเหมือนเอกชนไม่ได้ เพราะถ้าทำได้จะเกิดการเลือกที่รักมักที่ชัง เช่น บ้านนี้ ตำบลนี้ อำเภอนี้เป็นหัวคะแนน เอาไปเลย 2 หมื่น บ้านโน้นไม่รู้อย่างไรเอาไป 2 พัน จำได้หรือไม่ มีรัฐบาลสมัยหนึ่งมีกองทุนทำนองนี้เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่พื้นที่นี้ได้ 2 ล้าน อีกพื้นที่ให้ 7 ล้าน ทุกวันนี้คดีอยู่ยังอยู่ใน ป.ป.ช. ยังไม่ตัดสินเลย เงินบริจาคเมื่อเข้ามาอยู่ในกองทุนก็อยู่ภายใต้การตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทันที” นายวิษณุกล่าว

เมื่อถามว่าเงินในส่วนที่รัฐบาลรับบริจาค เมื่อเอาไปช่วยประชาชนผู้ประสบอุทกภัยอาจจะซ้ำกับเงินของทางนายบิณฑ์หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า คงไม่ซ้ำ เพราะนายบิณฑ์ช่วยเหลือบรรเทาไปเพื่อซื้ออาหารประทังชีวิตเฉพาะหน้า แต่เงินของกองทุนนั้นจะเอาไปช่วยในเรื่องการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ซื้อปศุสัตว์คืนให้เขา หรือเอาไปใช้ในการฟื้นฟู ไม่รวมถึงการทำถนนหนทาง เพราะส่วนนั้นใช้งบประมาณแผ่นดิน ไม่ใช้เงินบริจาค ดังนั้น วัตถุประสงค์ต่างกัน

สำหรับวิธีการจ่ายก็ต่างกัน ที่นายกฯพูดว่าการช่วยเหลือน้ำท่วมของรัฐบาลมี 3 ระยะคือ 1.ป้องกัน คือก่อนเกิดเหตุ 2.ระหว่างกำลังเกิดเหตุ และ 3. ฟื้นฟูภายหลังน้ำลด กรณีของนายบิณฑ์คืออยู่ในช่วงระหว่างเกิดเหตุ เป็นเรื่องที่ดี วันนี้การที่จะให้คนที่นั่งอยู่บนหลังคาบ้านเขามีโอกาสหรือรู้ว่าเขาได้เงินอยู่ในมือนั้นเป็นสิ่งที่ดี อย่างน้อยก็ในเรื่องกำลังใจ เมื่อน้ำลดปีนลงมาจากหลังคาก็พอที่จะซื้ออะไรต่ออะไรได้ แต่จะได้บ้านใหม่กลับคืนมา หรือจะได้เรือหรือวัวควายกลับคืนมา อาจจะใช้เงินของเอกชนลำบาก ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินหรือกองทุนบรรเทาสาธารณภัยของรัฐ

เมื่อถามว่ารัฐบาลต้องยอมรับเสียงวิจารณ์ที่บอกว่ารัฐเข้าไปช่วยเหลือล่าช้ากว่าภาคเอกชนหรือบุคคลอื่นๆ นายวิษณุกล่าวว่า ยอมรับว่ากลไกเป็นเช่นนั้น แต่การช่วยเหลือล่าช้าในที่นี้คือช่วยเหลือในความหมายของการเข้าไปถึงประชาชน แต่การเข้าไปถึงที่เกิดเหตุและเข้าไปจัดการป้องกันอย่างอื่นได้ทำไปก่อนล่วงหน้าแล้ว อย่างจังหวัดไหนที่น้ำไม่ท่วมก็ลงไปจัดเรื่องการจราจร ต้องเลี่ยงคนออกนอกเส้นทาง ในส่วนของพระสงฆ์ก็อาจจะลำบากกว่าชาวบ้าน เพราะฉันวันละมื้อสองมื้อ ไม่เหมือนการช่วยชาวบ้าน

เมื่อถามว่าทางจังหวัดก็มีงบประมาณในการช่วยเหลือ นายวิษณุกล่าวว่า มี แต่จังหวัดอาจจะเข้าถึงลำบาก และกิจการที่จังหวัดต้องทำมีหลายอย่าง ต้องคิดหน้าคิดหลังว่าต้องเก็บเงินไว้ทำอะไรอีกหลายเรื่อง เช่น มีเงิน 50 ล้าน ต้องเก็บไว้ทำอีกหลายเรื่อง เช่น อีก 1 อาทิตย์ข้างหน้าจะมีพายุมาอีก 2 ลูก ก็ต้องใช้เงินจำนวนนี้ ดังนั้น ต้องคิดให้มาก

เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ว่าเอกชนจะไปตรวจสอบกรณีของกระทรวงหลักๆที่มีการบริจาคเงินผ่านกองทุนเป็นจำนวนหลายล้านบาท นายวิษณุกล่าวว่า ไม่มีปัญหาเลย ทำกันมาตั้งหลายครั้งแล้ว เขาสามารถใช้เงินนั้นได้ โดยอาจเป็นเงินจากรัฐวิสาหกิจของเขาบ้าง เงินจากการบริจาคบ้าง หรือเงินที่มีเอาไว้สำหรับกรณีจำเป็นฉุกเฉิน อย่างตนเป็นรองนายกฯลงไปตรวจราชการในต่างจังหวัด หรือไปคุมพื้นที่ใด ก็สามารถอนุมัติเงินได้เขตละ 50 ล้านบาท เป็นต้น ซึ่งยังไม่ได้จ่ายไปสักบาท เพราะยังเหลือเวลาอีกตั้ง 1 ปี ยังมีปัญหาภัยแล้งอีก ซึ่งงบกองทุนนี้สามารถใช้ในเรื่องของภัยแล้งได้ด้วย


You must be logged in to post a comment Login