วันพฤหัสที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567

7พรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นแล้วซักฟอกนายกฯปมถวายสัตย์ฯ

On August 16, 2019

ที่รัฐสภา เกียกกาย 7 พรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดยนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน นำรายชื่อ 214 ส.ส. ยื่นต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงและเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นำคณะรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ไม่ครบถ้วนด้วยถ้อยคำตามมาตรา 161 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ถือเป็นการจงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญอันเป็นแบบแผนและขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญ เป็นการกระทำต่อหน้าองค์พระมหากษัตริย์ผู้ใช้อำนาจแทนปวงชนชาวไทยผ่านทางรัฐสภา ครม. และศาล กรณีดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่ประจักษ์ชัดต่อประชาชนทั่วไป และ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยอมรับ แต่ก็ยังไม่ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง กลับเดินหน้าบริหารราชการแผ่นดิน จึงเกิดเป็นปัญหาเกี่ยวกับการเข้ารับหน้าที่จนส่งผลต่อเนื่องไปถึงความถูกต้องสมบูรณ์ของการแถลงนโยบายของ ครม. ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 25-26 กรกฎาคมที่ผ่านมา อีกทั้งการแถลงนโยบายในครั้งนั้นก็ชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินนโยบายไม่ละเอียดครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 อีกด้วย จึงขอเสนอเปิดอภิปรายทั่วไป เพราะหากปล่อยเนิ่นช้าไปอาจส่งผลกระทบเสียหายร้ายแรงต่อการบริหารราชการแผ่นดินได้

นายชวนกล่าวภายหลังการรับหนังสือว่า ตามกระบวนการตามมาตรา 152 เพื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไป ถือเป็นเรื่องใหม่ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งของเดิมไม่มีกำหนดไว้ และระเบียบตามมาตราดังกล่าวยังพิจารณาไม่แล้วเสร็จ มีแต่เรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จึงต้องอนุโลมตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเดิมไปก่อน จากนี้ตนจะนำไปมอบให้นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ในฐานะรับผิดชอบเรื่องกระทู้และญัตติ ตรวจสอบความถูกต้อง หากไม่มีอะไรต้องแก้ไขตนจะแจ้งให้ผู้เสนอญัตติทราบภายใน 7 วัน ก่อนที่จะนำบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน และแจ้งให้ ครม. ทราบต่อไป ซึ่งคาดว่าน่าจะเปิดอภิปรายทั่วไปตามญัตตินี้ได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้ อย่างไรก็ตาม การพิจารณาต้องยึดตามข้อกฎหมายเป็นหลัก รัฐสภาไม่มีแนวทางอื่นนอกจากทำตามข้อบังคับการประชุม

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์จะมาตอบเองหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ต้องไปถามรัฐบาลเอง อย่างกระทู้ถามตนเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ควรต้องมาตอบ เพราะตามหลักการการที่ไม่มาชี้แจงต่อสภาจะต้องแจ้งถึงเหตุผลตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 150 กำหนด หาก ครม. เห็นว่าเรื่องนั้นยังไม่ควรเปิดเผยเพราะจะกระทบต่อความมั่นคงก็ต้องแจ้งมา อย่างไรก็ตาม ตนจะให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแจ้งไปยังนายกรัฐมนตรีให้ทราบเรื่องดังกล่าว เพราะก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีไม่เคยแจ้งเหตุผลอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรมายังสภาผู้แทนราษฎรเลย

ด้านนายสุทินกล่าวว่า หลังจากนี้ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านต้องรอการพิจารณาของประธานสภาผู้แทนราษฎรว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะเปิดประชุมเพื่ออภิปรายทั่วไป หาก พล.อ.ประยุทธ์แก้ไขกรณีการกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณตนตามที่เคยระบุไว้ให้ลุล่วงและคลายกังวล พรรคฝ่ายค้านพร้อมถอนญัตติดังกล่าว แต่หาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่ดำเนินการแก้ไขและปฏิเสธที่จะชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสภาผู้แทนราษฎรตามญัตติดังกล่าวจะถือว่า พล.อ.ประยุทธ์จงใจเลี่ยงการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งกระบวนการต่อไปพรรคฝ่ายค้านอาจจะพิจารณาช่องทางเอาผิด พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งกระบวนการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ และการยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีกระทำสิ่งที่ขัดต่อมาตรฐานจริยธรรม หรือช่องทางของสภาผู้แทนราษฎร ด้วยการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ตนยืนยันว่านายกรัฐมนตรีไม่สามารถเลี่ยงการชี้แจงหรือมอบหมายให้บุคคลอื่นมาชี้แจงแทนตนเองได้ รวมถึงไม่สามารถใช้ข้ออ้างกรณีที่มีบุคคลยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบกรณีดังกล่าวและต้องรอผลการตรวจสอบ

นายสุทินกล่าวต่อว่า สำหรับการใช้เวลาอภิปรายในญัตติดังกล่าว ไม่สามารถเรียกว่าเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะเนื้อหาหรือรายละเอียดไม่ใช่ประเด็นที่เกี่ยวกับการทุจริต อย่างไรก็ตาม หากญัตติดังกล่าวได้รับการบรรจุในวาระการประชุม พรรคฝ่ายค้านจะขอเวลาอภิปรายอย่างน้อย 2 วัน มากสุดไม่เกิน 3 วัน และจะเป็นสิทธิของ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านที่จะเป็นผู้อภิปรายได้เท่านั้น ส่วน ส.ส.พรรครัฐบาลไม่มีสิทธิอภิปราย ส่วนที่ต้องใช้เวลาจำนวนมากนั้น เนื่องจากมีรายละเอียดที่ต้องซักถามและมีรายละเอียดที่ต้องได้รับคำชี้แจง โดยเฉพาะกรณีการแถลงนโยบายของ ครม. ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่  25-26 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งต้องระบุรายละเอียดแหล่งที่มาของรายได้ซึ่งจะนำมาใช้ในนโยบายด้านต่างๆ


You must be logged in to post a comment Login