- เลือกงานให้โดน บริหารคนให้เป็น ตาม“ลัคนาราศี”Posted 14 hours ago
- ต่างศาสนา ต่างชาติพันธุ์ อยู่ร่วมกันภายใต้ความแตกต่างPosted 14 hours ago
- โลภ•ลวง•หลง เกมพลิกชีวิต รีแบรนด์หรือรีบอร์นPosted 14 hours ago
- กูไม่ใช่ไก่ต้มเว้ย! อย่ามาต้มกูเลย..Posted 14 hours ago
- หยุดความรุนแรง-ลวงโลกPosted 2 days ago
- อ.เบียร์ช่วยวัดสวนแก้วPosted 5 days ago
- เลิกเสียเงินกับเรื่องโง่ๆPosted 6 days ago
- ปัญหายาเสพติดวาระแห่งชาติPosted 7 days ago
- แก่อย่างไม่มีคุณค่าPosted 1 week ago
- “ทักษิณ” ยังมีมนต์ขลังPosted 1 week ago
โลกาภิวัตน์โลกานิยม
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 30 ส.ค. 67)
ลัทธิโลกานิยม (Secularism) เป็นแนวความคิดที่แยกตัวออกจากคำสอนของศาสนาและไม่ต้องการให้คำสอนของศาสนาเข้ามามีส่วนในกิจการทางสังคมทุกมิติ ลัทธินี้เกิดขึ้นหลังยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ จากลัทธินี้เองที่ก่อให้เกิดลัทธิทางเศรษฐกิจและการเมืองหลากหลายติดตามมา
เนื่องจากคำสอนของศาสนามาจากพระเจ้า จึงมีผู้สนับสนุนลัทธิโลกานิยมพยายามจะทำให้มนุษย์ที่เคยนับถือศาสนาเริ่มสงสัยในคำสอนของศาสนาและหันห่างออกจากศาสนาที่เคยเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวและเป็นวิถีการดำเนินชีวิต
หนทางหนึ่งก็คือการนำเสนอทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส ดาร์วินที่ว่าชีวิตบนโลกใบนี้เกิดขึ้นจากการรวมตัวของธาตุบางชนิดในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมและค่อยๆพัฒนาเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ชาร์ลส์ ดาร์วินยังเขียนหนังสือที่อธิบายว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิงซึ่งขัดกับความเชื่อในคัมภีร์ทางศาสนาที่ยืนยันมาตั้งแต่เดิมและไม่เปลี่ยนแปลงว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์
จากมุมมองทางศาสนา ทฤษฎีของชาร์ลส ดาร์วินเป็นการตัดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า แม้ทฤษฎีของดาร์วินจะได้รับการสนับสนุนจากวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกหลายร้อยฉบับให้ดูดีเป็นที่น่าเชื่อถือและถูกนำไปสอนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย แต่ผู้สนับสนุนทฤษฎีของดาร์วินก็ต้องเกิดอาการสะดุดทางความคิดจนแทบหัวคว่ำเมื่อถูกฝ่ายที่เชื่อในพระเจ้าแย้งว่าหากมนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิงจริงๆ มันต้องมีซาก “ช่วงต่อระหว่างลิงกับมนุษย์” เป็นหลักฐาน
ข้อโต้แย้งนี้เองที่ทำให้ผู้สนับสนุนทฤษฎีของดาร์วินไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้ แต่ไม่นานนัก โลกก็ได้ยินข่าวว่ามีการพบหลักฐานช่วงต่อระหว่างลิงกับมนุษย์แล้วที่เมืองพิลท์ดาวน์ประเทศอังกฤษและโครงกระดูกนี้ได้ถูกนำมาวางในพิพิธภัณฑ์ในอังกฤษเป็นเวลานานหลายสิบปี
ซากชิ้นส่วน “ช่วงต่อระหว่างลิงกับมนุษย์” ซึ่งถูกเรียกว่า “มนุษย์พิลท์ดาวน์” นี้เป็นหัวกระโหลกที่มีลักษณะส่วนบนเหมือนกระโหลกของมนุษย์และกระดูกกรามมีลักษณะเหมือนกรามของลิงใหญ่
ทฤษฎีของดาร์วินดูเหมือนเป็นวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้า มีการคิดค้นน้ำยาเคมีที่ใช้วัดการดูดซับของกระดูก จึงได้มีการนำน้ำยานี้ไปใช้พิสูจน์ซากกะโหลกของมนุษย์พิลท์ดาวน์ ผลปรากฏว่าการดูดซับของกระดูกส่วนบนกับส่วนล่างไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นการแสดงว่ากระดูกสองชิ้นไม่ใช่กระดูกจากร่างของสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกัน เมื่อมีการสืบสวนลึกลงไป จึงได้รู้ความจริงว่าซากกระโหลกดังกล่าวเป็นหลักฐานเท็จที่ถูกสร้างขึ้น หลังจากนั้น ซากโครงกระดูกและหัวกระโหลกที่ถูกตั้งไว้หลอกคนมานานนับสิบปีได้ถูกนำออกจากพิพิธภันฑ์ไป
ยิ่งวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้ามากขึ้น ทฤษฎีของดาร์วินก็ยิ่งหมดความน่าเชื่อถือลง เมื่อมีการค้นพบดีเอ็นเอ (DNA) หรือสารพันธุกรรมทำให้มนุษย์รู้ว่าดีเอ็นเอของมนุษย์แต่ละคนไม่เหมือนกันเช่นเดียวกับลายนิ้วมือของมนุษย์ ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะมีวิวัฒนาการมาจากลิง
นอกจากการค้นพบดีเอ็นเอแล้ว การศึกษาทางธรณีวิทยายังทำให้เรารู้ว่าโลกเคยเป็นกลุ่มก๊าซมาก่อน หลังจากนั้น กลุ่มก๊าซนี้ได้ควบแน่นเป็นของเหลวร้อนและค่อยๆเย็นลงจนส่วนนอกกลายเป็นเปลือกโลก ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีชีวิตใดๆเกิดขึ้นและก่อตัวเป็นชีวิตที่ค่อยๆวิวัฒนาการเป็นมนุษย์ขึ้นมา
ทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินเป็นการตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า มันทำให้มนุษย์ไม่รู้จักสถานะของตัวเองว่าเป็นสิ่งถูกสร้างและเป็นบ่าวของพระเจ้าผู้ทรงสร้างและเป็นนาย มนุษย์จึงขาดสิ่งยึดเหนี่ยวและทางนำในการดำเนินชีวิต คิดว่าตัวเองเกิดมาเพียงเพื่อกิน นอน ถ่าย สืบพันธุ์และตายไปเยี่ยงสัตว์ทั้งหลายโดยไม่ต้องไปถูกพระเจ้าสอบสวนในโลกหน้า
ไม่เพียงเท่านั้น ทฤษฎีของดาร์วินยังเสนอความคิดอีกว่าผู้ที่แข็งแรงกว่าเท่านั้นที่อยู่รอด ใครอ่อนแอก็ต้องสูญพันธุ์ไป ด้วยความคิดเช่นนี้เองที่ทำให้มนุษย์ที่แข็งแรงกว่านำไปอ้างในการทำลายธุรกิจและชาติอื่นๆที่อ่อนแอกว่า
You must be logged in to post a comment Login