วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2568

พิษดอลล่าร์พาโลกสู่หายนะ

On October 31, 2025

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่  31 ต.ค.  68 )

บาปใหญ่อย่างหนึ่งที่ถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิลพันธสัญญาเก่าคือการให้กู้เพื่อกินดอกเบี้ย เพราะดอกเบี้ยเป็นความไม่ยุติธรรม  เป็นการกดขี่ขูดรีด เอารัดเอาเปรียบและทำลายคุณธรรมที่มนุษย์พึงมีต่อกัน

ในพันธสัญญาใหม่  พระเยซูถูกส่งมายืนยันธรรมบัญญัติเดิมในพันธสัญญาเก่าที่ห้ามดอกเบี้ย

หลังสมัยพระเยซู 570 ปี  นบีมุฮัมมัดเกิดในสังคมอาหรับที่ผู้คนส่วนใหญ่ทำอาชีพค้าขายและคนร่ำรวยทำธุรกิจให้กู้เงินเพื่อกินดอกเบี้ย  ในภาษาอาหรับเรียกดอกเบี้ยว่า “ริบา” หมายถึงส่วนเกินที่เกิดขึ้นจากการกู้ยืมและการแลกเปลี่ยนสิ่งของที่เหมือนกันหรือมีมูลค่าเท่ากัน เช่น แลกธนบัตร 20 บาทด้วยเหรียญ 22 บาท ส่วนที่เกินไป 2 บาทถูกเรียกว่าริบา

ภารกิจสำคัญประการหนึ่งของนบีมุฮัมมัดคือการล้มเลิก “ริบา” ซึ่งเป็นการยืนยันธรรมบัญญัติเดิมของพระเจ้าตั้งแต่สมัยโมเสสและพระเยซู

การล้มเลิกดอกเบี้ยโดยนบีมุฮัมมัดดำเนินไปตามขั้นตอนตั้งแต่การปลูกฝังความศรัทธาและความเกรงกลัวพระเจ้าในหัวใจของชาวอาหรับ  เมื่อชาวอาหรับแย้งว่า “การค้าก็เหมือนกับดอกเบี้ย” นบีมุฮัมมัดชี้แจงว่าพระเจ้าอนุมัติการค้าและห้ามดอกเบี้ย  หากใครได้รับคำเตือนนี้แล้วเลิกเกี่ยวข้องกับดอกเบี้ย พระเจ้าจะไม่เอาโทษเขา  แต่หากใครไม่เชื่อฟัง ก็ขอให้รู้ว่าคนผู้นั้นกำลังทำสงครามกับพระเจ้าและศาสนทูตของพระองค์

เมื่อนบีมุฮัมมัดพิชิตเมืองมักก๊ะฮฺได้ ท่านประกาศยกเลิกดอกเบี้ยทั้งหมดของลุงของท่านและได้บอกผู้ศรัทธาในพระเจ้าว่าบาปของการเกี่ยวข้องกับดอกเบี้ยนั้นไม่ต่างจากบาปของผู้ทำผิดประเวณีกับแม่ของตัวเอง  นับแต่นั้นมา ระบบเศรษฐกิจของรัฐอิสลามก็เลิกเกี่ยวข้องกับดอกเบี้ย

เดิมที  ดอกเบี้ยถูกเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า usury ซึ่งแปลว่าการเรียกเก็บดอกเบี้ยเงินกู้จากคนยากจนในอัตราขูดรีด  ทั้งนี้ เนื่องจากนายทุนเงินกู้มีความเสี่ยงสูงที่จะไม่ได้เงินคืน

หลังยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ  ชาวยุโรปบางส่วนดำเนินชีวิตโดยแยกตัวออกจากศาสนา และหลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม  นักธุรกิจต้องการเงินลงทุนเป็นจำนวนมาก จำเป็นต้องกู้เงินจากนายทุน  แต่เนื่องจากการกู้ต้องจ่ายดอกเบี้ย  ทั้งผู้กู้และผู้ให้กู้จึงขออนุญาตโป๊ปให้อนุมัติการรับและจ่ายดอกเบี้ย แต่โป๊ปไม่ยอม

อย่างไรก็ตาม  การทำธุรกิจต้องอาศัยเงินทุนจากการกู้ยืม  นักธุรกิจจึงไม่สนใจเรื่องข้อห้ามทางศาสนา  นายทุนเห็นว่านักธุรกิจและนักอุตสาหกรรมมีความสามารถในการจ่ายหนี้ มีความเสี่ยงน้อย จึงลดดอกเบี้ยให้และผู้กู้ยินยอมจ่ายเพราะต้องการเงิน  ดอกเบี้ยประเภทนี้จึงถูกเรียกว่า interest  ซึ่งจะเรียกว่าอะไรก็เป็น “ริบา” ที่เกิดขึ้นจากการกู้ยืม

แต่ริบาอีกอย่างหนึ่งที่กำลังส่งพิษร้ายถึงขั้นทำลายโลกก็คือ ริบาหรือส่วนเกินที่เกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนสิ่งของที่เหมือนกันหรือมีค่าเท่ากัน

ใน ค.ศ.1944  ชาติต่างๆทั่วโลกได้ประชุมกันที่สหรัฐอเมริกาเพื่อตกลงเรื่องการค้าขายและที่ประชุมมีมติให้ใช้สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐเป็นสกุลเงินหลัก  ในที่ประชุมครั้งนั้นได้ตกลงกันว่าสหรัฐอเมริกาจะเป็นผู้พิมพ์ธนบัตรดอลล่าร์โดบกำหนดว่า 35 ดอลล่าร์มีค่าเท่ากับทองคำ 1 ออนซ์ ใครต้องการเงินดอลล่าร์สหรัฐก็ต้องเอาทองคำไปแลก นับแต่นั้นมา ประเทศต่างๆที่ต้องการค้าขายกับสหรัฐก็ส่งทองคำไปแลกเงินดอลล่าร์สหรัฐ  แต่ผู้ที่พิมพ์เงินดอลล่าร์ไม่ใช่รัฐบาลสหรัฐ  หากแต่เป็นกลุ่มนายทุนชาวยิวที่ควบคุมธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาหรือที่เรียกว่า FED ซึ่งไม่ใช่ธนาคารของรัฐบาลสหรัฐ

หลังจากนั้นไม่นาน  ธนาคารกลางสหรัฐก็แอบพิมพ์ธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐเพิ่มเติมเกินกว่าอัตราที่ตกลงกันไว้และประกาศยกเลิกมาตรฐานทองคำในการพิมพ์ธนบัตรดอลล่าร์ ด้วยเหตุนี้  ประเทศใดที่จะนำเงินดอลล่าร์สหรัฐไปแลกทองคำที่ตัวเองนำไปฝากไว้ก็ต้องเอาเงินมากกว่า 35 ดอลล่าร์สหรัฐไปแลกกับทองคำ 1 ออนซ์  ทองไม่ได้แพง  แต่ดอลล่าร์สหรัฐต่างหากที่เสื่อมค่าและเสื่อมลงเรื่อยมานับแต่นั้น

ด้วยสกุลเงินดอลล่าร์นี้เองที่สหรัฐนำไปใช้ในการครอบครองทรัพยากรในประเทศต่างๆทั่วโลกแทนอาวุธ  แต่เมื่อกลุ่มประเทศ BRICS เห็นว่าการกระทำเช่นนี้ไม่เป็นธรรม  จึงพยายามยกเลิกการใช้ดอลล่าร์สหรัฐในการซื้อขายแลกเปลี่ยน

ท่านผู้อ่านคิดดูเองก็แล้วกันว่าถ้าคนมีเงินดอลล่าร์ตุงกระเป๋า  แต่ไม่สามารถใช้เงินซื้อสิ่งที่ตัวเองต้องการได้  หนทางเดียวที่จะได้สิ่งของที่ตัวเองต้องการก็คือการบังคับให้ประเทศอื่นๆยอมรับเงินดอลลาร์ของตัวเอง หรือไม่ก็ปล้น

นี่คือสาเหตุของวิกฤตการณ์การณ์โลกที่วุ่นวายอยู่ในขณะนี้และกำลังจะกลายเป็นชนวนสงครามล้างโลกในเร็ววัน


You must be logged in to post a comment Login