วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ชีวิตบนเส้นตรงของกาลเวลา

On September 26, 2025

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 26 ก.ย.  68 )

มนุษย์เป็นสิ่งถูกสร้างที่มีทั้งร่างกายและวิญญาณประกอบขึ้นเป็นชีวิต ร่างกายของมนุษย์เป็นสิ่งชั่วคราว  แต่วิญญาณไม่สลายไปกับร่างกายเมื่อมันออกจากร่างมนุษย์ไป มันยังต้องเดินทางต่อไปสู่โลกหลังความตาย

มนุษย์มีความรู้มากมายในเรื่องสุขภาพร่างกาย  แต่ความรู้เรื่องวิญญาณมนุษย์มีความรู้น้อยมากทั้งๆที่มันคือชีวิตที่แท้จริงของมนุษย์  ความรู้เรื่องวิญญาณจึงมีความสำคัญสำหรับมนุษย์  ความเชื่อผิดๆในเรื่องวิญญาณมีส่วนสำคัญที่ทำให้มนุษย์หลงผิดติดบ่วงอวิชชาและไม่สามารถปลดมลทินบางอย่างออกจากจิตใจได้

หลายคนเชื่อว่าวิญญาณของคนที่ตายไปจะกลับมาเยี่ยมครอบครัวเพราะความห่วงใย จึงจัดพิธีทำบุญรับการมาเยือนของวิญญาณผู้ล่วงลับ  ฟาโรห์เชื่อว่าวิญญาณของเขาจะกลับมายังร่างของเขาอีก จึงสะสมทรัพย์สมบัติไว้มากมายในระหว่างมีชีวิตด้วยการกดขี่ขูดรีดประชาชน

ความรู้ในเรื่องวิญญาณไม่มีในตำราวิทยาศาสตร์เพราะมนุษย์ไม่ได้เป็นผู้สร้างวิญญาณ  ถ้าต้องการความรู้เรื่องนี้ต้องศึกษาจากศาสนาที่มาจากพระเจ้าผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมาเท่านั้น

วิญญาณที่มนุษย์เชื่อว่ามีแต่มองไม่เห็นเป็นสิ่งที่ยืนยันว่ากาลเวลาเดินทางเป็นเส้นตรงเหมือนกับแสง  และชีวิตมนุษย์ทุกคนเดินทางบนเส้นตรงของกาลเวลา  เวลาของชีวิตจึงไม่ใช่วงกลม  การเวียนว่ายตายเกิดซึ่งเป็นวฏจักรของชีวิตมนุษย์ก็เป็นเพียงปมเล็กๆบนเส้นด้ายของกาลเวลาที่มนุษย์ไม่รู้ว่าปลายสองข้างของมันไปสิ้นสุดที่ไหน

เมื่อมนุษย์คลอดออกมาจากท้องแม่และไม่สามารถมุดหัวกลับเข้าไปสู่โลกแห่งครรภ์มารดาได้ฉันใด วิญญาณที่ออกจากโลกนี้ไปแล้วก็ไม่สามารถหวนกลับมาสู่โลกนี้ได้อีกฉันนั้น  คนตายแล้วไม่ทะเลาะกัน ไม่หักหลังคดโกงกันเพราะไม่มีวิญญาณอยู่ในร่าง ดังนั้น วิญญาณต่างหากที่บงการแขนขา หูตาให้ทำความดีหรือความชั่ว  ถ้ามนุษย์คิดว่าการตายของมนุษย์เหมือนกับสัตว์ที่ไม่ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำไว้  ความฉิบหายจะแพร่ระบาดในสังคมอย่างรวดเร็วและกฎหมายไม่สามารถควบคุมมนุษย์ที่คิดเช่นนี้ได้

สิงโตห้าตัวในสวนสัตว์ที่รุมกัดคนให้อาหารมันจนตายไม่ต้องถูกนำตัวขึ้นศาลเพราะมันไม่มีสติปัญญาและเสรีภาพในการเลือก  แต่มนุษย์ไม่ใช่สัตว์  มนุษย์จึงต้องรับผิดชอบต่อบาปกรรมความชั่วที่ตัวเองทำไว้  ถึงกฎหมายไม่สามารถนำตัวไปลงโทษในโลกนี้เพราะร่างกายสลายเป็นธุลีไปแล้ว แต่วิญญาณซึ่งเป็นชีวิตที่แท้จริงยังอยู่และพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของวิญญาณจะจัดการลงโทษเอง เพราะพระเจ้าทรงยุติธรรม

ไม่มีเครื่องมือวิทยาศาสตร์ใดๆสามารถมองเห็นวิญญาณได้ จนทุกวันนี้จึงไม่มีใครรู้ว่าวิญญาณเข้าและออกจากร่างกายอย่างไร พระเจ้าเท่านั้นที่รู้  แต่พระองค์ได้ให้นบีมุฮัมมัดมาบอกว่าวิญญาณที่ทำความดีและมีความศรัทธาในพระเจ้าจะออกจากร่างกายอย่างสะดวกเหมือนกับน้ำที่ไหลออกจากพวยกาและจะมีทูตสวรรค์นำผ้าขาวที่มีกลิ่นหอมมาห่อหุ้มขึ้นไปสู่ชั้นฟ้า ส่วนวิญญาณที่ทำความเลวและไม่มีความศรัทธาในพระเจ้าจะออกจากร่างเหมือนกับสำลีหรือนุ่นที่ถูกเหล็กย่างเนื้อที่เกรอะกรังแทงเข้าไปและดึงออกมา  หลังจากนั้นจะมีทูตสวรรค์นำผ้าที่มีกลิ่นเหม็นมารับวิญญาณขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าเบื้องบน

วิญญาณจะถูกนำกลับมายังโลกนี้อีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ได้เห็นร่างกายของตัวเองถูกชำระล้าง เมื่อศพถูกนำไปฝัง  วิญญาณจะอยู่ในโลกแห่งหลุมฝังศพซึ่งเป็นโลกที่คั่นกลางระหว่างโลกนี้และโลกหน้าเพื่อรอวันการฟื้นคืนชีพมารับการพิพากษาที่จะเกิดขึ้นเมื่อวันอวสานของโลกมาถึง

คัมภีร์กุรอานกล่าวว่าในวันแห่งการพิพากษา “ใครที่ทำความดีแม้เพียงอณูหนึ่งก็จะได้เห็นมันและใครที่ทำความชั่วแม้เพียงอณูหนึ่งก็จะได้เห็นมัน” (กุรอาน 99:7-8)

ในศาลของพระเจ้าไม่ต้องอาศัยพยานเพราะบันทึกหลักฐานการกระทำของมนุษย์ได้ถูกทูตสวรรค์บันทึกและนำส่งพระเจ้าทุกสัปดาห์ ไม่เพียงเท่านั้นอวัยวะทุกส่วนของร่างกายมนุษย์จะเป็นพยานให้เองด้วย

ชะตากรรมของวิญญาณมนุษย์แต่ละคนจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินของพระเจ้าและวิญญาณจะต้องแบกชะตากรรมนั้นต่อไปบนเส้นด้ายของกาลเวลาที่ไม่รู้ว่าปลายของมันอยู่ที่ไหน


You must be logged in to post a comment Login