วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567

นบีมุฮัมมัดกับลูกหลานอิสราเอล

On July 30, 2021

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 30 ก.ค. – 6 ส.ค. 64)

เมื่อนบีมุฮัมมัดเริ่มประกาศตนเป็นนบีและเริ่มเผยแผ่อิสลามในเมืองมักก๊ะฮฺ  ท่านถูกต่อต้านอย่างหนักเพราะการเรียกร้องผู้คนให้หันมาเคารพสักการะพระเจ้าองค์เดียวทำให้ชนชั้นปกครองและกลุ่มที่มีผลประโยชน์จากการหากินกับพิธีกรรมเซ่นไหว้รูปเคารพรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกท้าทายและเสียผลประโยชน์

เมืองมักก๊ะฮฺไม่ใช่ถิ่นฐานของพวกลูกหลานอิสราเอล นบีมุฮัมมัดจึงไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านี้มากนัก แต่ก็มีพ่อค้าชาวยิวเดินทางมาทำธุรกิจในเมืองบ้างและคนเหล่านี้ได้ยินข่าวเรื่องนบีมุฮัมมัด บางครั้ง จึงใช้คนอาหรับถามปัญหาบางอย่างที่มีอยู่ในคัมภีร์ของชาวยิวเพื่อหยั่งเชิงดูว่ามุฮัมมัดเป็นนบีจริงหรือไม่

ถิ่นฐานของพวกลูกหลานอิสราเอลอยู่ที่เมืองมะดีนะฮฺ เดิมที คนกลุ่มนี้อพยพหลบหนีมาที่นี่เมื่อกรุงเยรูซาเล็มถูกกองทัพไบแซนตินทำลายใน ค.ศ.70  จนแตกกระจายไปยังส่วนต่างๆของโลก ในจำนวนนี้มีสามเผ่าอพยพหลบหนีมาตั้งถิ่นฐานบริเวณชานเมืองมะดีนะฮฺก่อนหน้านบีมุฮัมมัดเกิดหลายร้อยปี

เมื่อนบีมุฮัมมัดอพยพไปยังเมืองมะดีนะฮฺ ท่านได้พบกับคนเหล่านี้ พระเจ้าจึงสั่งท่าน  “และจงอย่าโต้เถียงกับชาวคัมภีร์นอกจากด้วยวิธีการที่ดีที่สุด นอกจากพวกคนชั่วในหมู่พวกเขา”  เนื่องจากพวกลูกหลานอิสราเอลเป็นผู้มีความรู้ในคัมภีร์เก่าก่อนหน้านี้และมีความภาคภูมิใจในบรรพบุรุษของตัวเองที่ได้รับตำแหน่งนบีหลายคน  แต่ความภาคภูมิใจนี้ได้ทำให้พวกลูกหลานอิสราเอลฝังใจและหลงตัวเองว่าคนที่จะเป็นนบีต้องเป็นลูกหลานอิสราเอลเท่านั้น  นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมบางครั้งคัมภีร์กุรอานจึงเรียกพวกลูกหลานอิสราเอลว่าชาวคัมภีร์

มะดีนะฮ(เดิมชื่อ ยัษริบ)เป็นเมืองที่มีความขัดแย้งระหว่างเผ่ามานานและไม่มีศูนย์กลางแห่งอำนาจ พวกลูกหลานอิสราเอลใช้คัมภีร์ของตนเป็นกฎหมายในการตัดสิน ส่วนชาวอาหรับใช้ประเพณีที่สืบเนื่องกันมา  เมื่อนบีมุฮัมมัดอพยพไปถึงที่นั่น  ชาวอาหรับทั้งหมดมอบให้ท่านเป็นผู้นำและทุกคนให้สัตย์สาบานว่าจะเชื่อฟังการตัดสินของท่าน

แต่เนื่องจากเมืองมะดีนะฮฺมีพวกลูกหลานอิสราเอลอาศัยอยู่ ดังนั้น นบีมุฮัมมัดจึงเรียกพวกลูกหลานอิสราเอลทั้งสามเผ่ามาทำสนธิสัญญาตกลงอยู่ร่วมกันอย่างสงบและให้ทุกคนถือว่ามะดีนะฮฺคือเมืองของทุกคน ดังนั้น หากถูกรุกราน ทุกฝ่ายที่อาศัยอยู่ในเมืองมีหน้าที่ในการป้องกันและรับผิดชอบในความสูญเสียที่เกิดขึ้น  ในสนธิสัญญานี้ นบีมุฮัมมัดได้เปิดโอกาสให้พวกลูกหลานอิสราเอลใช้คัมภีร์ของตนเป็นกฎหมายตัดสินถ้าหากคู่กรณีเป็นลูกหลานอิสราเอลด้วยกัน

คัมภีร์กุรอานเรียกพวกลูกหลานอิสราเอลบางครั้งว่าชาวคัมภีร์เพื่อเป็นการให้เกียรติ  นบีมุฮัมมัดพยายามบอกคนเหล่านี้ว่าพระเจ้าส่งท่านมาเพื่อนำคำสอนมายืนยันคัมภีร์ก่อนหน้านี้ที่ถูกบิดเบือนไป แต่เมื่อพวกลูกหลานอิสราเอลส่วนใหญ่ปฏิเสธ คัมภีร์กุรอานจึงเรียกคนเหล่านี้ว่า “ยะฮูด” (ยิว) อย่างไรก็ตาม มีชาวคัมภีร์บางคนที่เชื่อนบีมุฮัมมัดและหันมาเข้ารับอิสลามและเป็นมุสลิม

ถึงแม้พวกลูกหลานอิสราเอลไม่ใช่ชนเผ่าอาหรับพื้นเมือง แต่เมื่อชนเผ่าพื้นเมืองมีความขัดแย้งและทำสงครามกัน พวกลูกหลานอิสราเอลจะถูกชนเผ่าพื้นเมืองที่เป็นคู่ขัดแย้งดึงไปร่วมเป็นพันธมิตรซึ่งทำให้ชนเผ่าชาวยิวเป็นศัตรูระหว่างกันเองด้วย

ในตอนเริ่มแรก เผ่ายิวปฏิบัติตามข้อตกลงในสนธิสัญญาอย่างดี  แต่เมื่อนบีมุฮัมมัดและชาวเมืองมะดีนะฮฺหันมารับอิสลามมากขึ้นและมีความเข้มแข็งมากขึ้น หัวหน้าเผ่าชาวยิวได้หันไปสมรู้ร่วมคิดกับชนเผ่าอาหรับในการรุกรานทำสงครามทำลายนบีมุฮัมมัดและมุสลิม แต่เมื่อสงครามจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายรุกราน นบีมุฮัมมัดจึงหันไปปราบเผ่ายิวที่เป็นหอกข้างแคร่และเนรเทศเผ่ายิวออกไปจากแผ่นดินอาหรับ


You must be logged in to post a comment Login