วันพฤหัสที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567

เทวสิทธิ์ อวตารและเคาะลีฟะฮฺ

On March 26, 2021

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 26 มี.ค.-2 เม.ย. 64)

เทวสิทธิ์และอวตารเป็นความเชื่อที่มีอยู่คู่กันมาเนิ่นนานก่อนที่โลกนี้จะมีรัฐบาลและรัฐสภาทำหน้าที่ออกกฎหมายปกครองประชาชนในรัฐ

เทวสิทธิ์หมายถึงสิทธิของพระเจ้าในการปกครอง ผู้นับถือศาสนาที่มาจากพระเจ้าเชื่อว่าเมื่อพระเจ้าสร้างทุกสรรพสิ่งและเป็นเจ้าของทุกสรรพสิ่ง พระเจ้าก็ต้องมีสิทธิ์ในทุกสรรพสิ่งที่พระองค์สร้างมา ไม่ต่างไปจากเมื่อเราสร้างบ้านและเป็นเจ้าของบ้าน เราก็ต้องมีสิทธิ์ในบ้านของเรา ใครจะมาละเมิดสิทธิ์ของเราไม่ได้

เนื่องจากพระเจ้าสร้างจักรวาลและกำหนดกฎระเบียบในการโคจรของดวงดาว และโลกเป็นดาวดวงหนึ่งซึ่งมีมนุษย์อาศัยอยู่ พระเจ้าก็ต้องมีสิทธิ์ในการปกครองโลกนี้ด้วย ในคัมภีร์อุปนิษัทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์พระเวทกล่าวว่า “พระเจ้าองค์เดียว ไม่มีผู้ใดที่สมควรได้รับการกราบไหว้นอกจากพระองค์ โลกนี้ไม่มีอะไรหากปราศจากพระองค์  มันยังคงอยู่ตราบใดที่พระองค์ทรงรักษามันไว้ โลกไม่สามารถดำรงอยู่ได้ชั่วขณะโดยการปฏิเสธพระองค์”

โลกและดาวทั้งหมดถูกควบคุมโดยกฎที่พระเจ้าสร้างมา แต่สำหรับมนุษย์ พระเจ้าได้ประทานกฎระเบียบในการดำเนินชีวิตมาให้ในรูปที่มนุษย์เรียกกันว่าศาสนาและคัดเลือกมนุษย์บางคนขึ้นมาเป็นผู้สั่งสอนซึ่งในภาษาอาหรับเรียกว่า “นบี”  แม้พระเจ้ามีสิทธิ์ที่จะได้รับการเชื่อฟังจากมนุษย์ แต่พระเจ้าได้ให้เสรีภาพแก่มนุษย์ในการเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังก็ได้

หากใครศึกษาแก่นคำสอนที่แท้จริงของศาสนา เขาจะพบว่านบีทุกคนเตือนมนุษย์ว่าพระเจ้าเป็นผู้มีอำนาจหรืออธิปไตยสูงสุดที่มนุษย์ต้องเชื่อฟัง ถ้ามนุษย์ปฏิเสธกฎแห่งการดำเนินชีวิตที่พระเจ้าประทานไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ ผลลัพธ์จะไม่ต่างอะไรไปจากการที่โลกและทุกสิ่งในโลกรวมทั้งดวงดาวต่างๆไม่ยอมเชื่อฟังกฎของพระเจ้า

นี่คือเทวสิทธิ์ที่นบีหมายถึง

แต่เมื่อมนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นสังคม ผู้นำหรือผู้ปกครองสังคมในสมัยโบราณจะใช้อำนาจการปกครองโดยอ้างว่าตัวเองมีเทวสิทธิ์ที่ทุกคนต้องเชื่อฟัง เมื่อสังคมเกิดความไม่เป็นธรรมหรือเกิดภาวะยุคเข็ญ พระเจ้าจะส่งคนมาช่วยขจัดความยุคเข็ญและทำลายความไม่เป็นธรรม ตรงนี้เองที่ทำให้เกิดความคิดความเชื่อในหมู่ชาวฮินดูว่าผู้ที่มาปราบยุคเข็ญคืออวตารหรือการที่พระเจ้าแบ่งภาคมาช่วยมนุษย์ในรูปของพระนารายณ์ ความเชื่อเช่นนี้เองที่นำไปสู่การนับถือบูชาพระนารายณ์

ในคัมภีร์ไบเบิลและในคัมภีร์กุรอาน โมเสสได้รับคัมภีร์โตราห์จากพระเจ้าให้มาปกครองลูกหลานอิสราเอลในขณะที่ฟาโรห์อ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้าแห่งอียิปต์ ประชาชนต้องเคารพสักการะเขาเพราะเขามีเทวสิทธิ์แห่งสุริยะเทพ  แม้โมเสสจะได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าให้เป็นนบี โมเสสก็ไม่ได้อ้างว่าตัวเองมีเทวสิทธิ์หรือเป็นอวตารของพระเจ้า เขาเพียงแต่เรียกร้องฟาโรห์ให้ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวและปฏิบัติตามกฎหมายของพระเจ้า

หลังสมัยโมเสส อาณาจักรอิสราเอลถูกปกครองโดยดาวิดและโซโลมอน ทั้งสองคนเป็นทั้งนบีและกษัตริย์ แต่ประมุขทั้งสองพ่อลูกนี้ก็ไม่ได้อ้างเทวสิทธิ์สั่งให้ประชาชนเคารพบูชาตนเหมือนฟาโรห์

หลังสมัยพระเยซู เมื่อศาสนาคริสต์เข้าไปในอาณาจักรโรมันและคัมภีร์ไบเบิลได้กลายเป็นกฎหมายในการปกครอง  โป๊ปผู้มีอำนาจสูงสุดในคริสตจักรได้อ้างเทวสิทธิ์ในการปกครองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งและอำนาจเทวสิทธิ์ของโป๊ปได้อยู่ในยุโรปมานานนับหลายร้อยปี

ในอิสลามไม่มีความคิดเรื่องอวตาร เพราะพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียว ไม่สามารถแบ่งแยกได้ แต่อิสลามถือว่านบีคือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่พระเจ้าคัดเลือกขึ้นมาทำหน้าที่นำคำสอนของพระองค์มายังมนุษยชาติ   คัมภีร์กุรอานกล่าวชัดว่านบีมุฮัมมัดเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้นบีมุฮัมมัดแตกต่างไปจากมนุษย์คนอื่นก็คือนบีมุฮัมมัดได้รับการเปิดเผยความจริงจากพระเจ้าว่าพระเจ้านั้นมีองค์เดียว  คำประกาศเริ่มแรกในการเผยแผ่อิสลามว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺองค์เดียวและมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์” มีความหมายว่าพระเจ้ามีองค์เดียว ถ้าใครเชื่อพระเจ้าก็ต้องปฏิบัติตามนบีมุฮัมมัด

เมื่อนบีมุฮัมมัดได้รับคัมภีร์กุรอานครบถ้วนแล้ว คัมภีร์กุรอานก็คือธรรมนูญของรัฐอิสลามและของมุสลิม พระเจ้าคืออธิปไตยสูงสุด ผู้นำที่ใช้คัมภีร์กุรอานเป็นธรรมนูญในการปกครองถูกเรียกว่า “เคาะลีฟะฮฺ” (ตัวแทน)ผู้ใช้กฎหมายของพระเจ้า และรัฐที่ปกครองด้วยกุรอานถูกเรียกว่า “คิลาฟะฮฺ”


You must be logged in to post a comment Login