วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2567

“จอร์จ วอชิงตัน” นักสำรวจที่ดินที่เกือบกลายเป็นกษัตริย์อเมริกา

On September 22, 2020

คอลัมน์ :โลกอสังหาฯ

ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 25 ก.ย.-2 ต.ค. 2563)

หลายคนคงทราบว่า “จอร์จ วอชิงตัน” คือประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 1 ในสมัยรัชกาลที่ 1 หลังสถาปนากรุงเทพมหานคร 7 ปี แต่บางคนอาจไม่ทราบว่าท่านเคยเกือบได้เป็นกษัตริย์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ท่านไม่รับ

วอชิงตันเกิดเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2275 (ในสมัยกรุงศรีอยุธยาของไทย) และเสียชีวิตตอนอายุ 67 ปี เป็นคนรูปร่างสูงอย่างเห็นได้ชัด เขาสูง 6 ฟุต 2 นิ้ว หรือ 188 เซนติเมตร ไหล่แคบ อาจมีลักษณะลำตัวส่วนบนกลมหนา สะโพกกว้าง เป็นผู้นำทางทหารและการเมืองที่โดดเด่นของสหรัฐอเมริกาที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น ระหว่างปี 2318-2342 เขานำสหรัฐจนได้รับชัยชนะเหนืออังกฤษในสงครามปฏิวัติอเมริกาในช่วงปี 2318-2326 และรับผิดชอบการร่างรัฐธรรมนูญในปี 2330 เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 2332-2340

หลังจากรบชนะอังกฤษแล้ว ในปี 2326 (หลังตั้งกรุงเทพมหานคร 1 ปี) กองทหารของอาณานิคมสหรัฐอเมริกาซึ่งกลายเป็นประเทศใหม่แล้วมีความคิดที่จะขอให้วอชิงตันเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของสหรัฐอเมริกา เพราะในยุคสมัยนั้นประเทศต่างๆก็มีประมุขเป็นกษัตริย์เป็นส่วนใหญ่ แต่วอชิงตันไม่มีความปรารถนาเช่นนั้น หาไม่คงมี “ราชวงศ์วอชิงตัน” ในสหรัฐอเมริกา ท่านมองว่าระบบสาธารณรัฐที่เลือกผู้แทนมาบริหารประเทศ มีประมุขเป็นประธานาธิบดี น่าจะเหมาะสมกว่าการมีผู้นำเพียงบุคคลเดียว

มีเรื่องเล่ากันว่า สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งอังกฤษ ตรัสถามวอชิงตันว่าจะทำอะไรต่อไป และทรงได้รับข่าวลือมาว่าวอชิงตันจะกลับไปยังบ้านไร่ของตนเอง ทำให้มีพระราชกระแสในทันทีว่า “ถ้าเขาทำเช่นนั้น เขาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” ซึ่งวอชิงตันก็ได้กลับไปใช้ชีวิตสมถะอย่างชาวไร่จริงๆที่เมาต์เวอร์นอน ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น วอชิงตันมีฐานะทางประวัติศาสตร์เด่นล้ำเหนือกษัตริย์สุดยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดินิยมอังกฤษเสียอีก

ในช่วงวัยหนุ่มวอชิงตันทำงานเป็นเจ้าหน้าที่สำรวจที่ดิน เขาได้ความรู้เกี่ยวกับภูมิประเทศถิ่นฐานบ้านเกิดของเขาอย่างประเมินค่ามิได้ พี่ชายคนโตของเขาแต่งงานกับครอบครัวแฟร์แฟ็กซ์ และได้รับวอชิงตันไปอุปถัมภ์เลี้ยงดูโดยโธมัส แฟร์แฟ็กซ์, ลอ์ดแฟร์แฟ็กซ์ที่ 6 แห่งคาเมรอน ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1749 หลังจากที่มีการก่อตั้งเมืองอเล็กซานเดรีย เวอร์จิเนีย ตลอดตามลำน้ำแม่น้ำโปตาแม็กอย่างกะทันหันนั้น ขณะนั้นวอชิงตันอายุได้ 17 ปี เขาได้รับแต่งตั้งให้ทำงานสาธารณะเป็นครั้งแรก โดยเป็นผู้สำรวจรังวัดที่ดินในเขตคัลเปเปอร์เคาน์ตี้ที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ในชายแดนของรัฐอาณานิคม การแต่งตั้งครั้งนี้ถูกรับรองโดยคำสั่งจากลอร์ดแฟร์แฟ็กซ์และลูกพี่ลูกน้องของเขา วิลเลียม แฟร์แฟ็กซ์ ผู้ซึ่งนั่งตำแหน่งในสภาผู้ว่าการรัฐ

วอชิงตันเริ่มทำอาชีพเจ้าหน้าที่สำรวจที่ดิน ซึ่งนักประวัติศาสตร์ชี้ว่าเขามีทาสในครอบครอง 20 คนหรืออาจจะมากกว่านั้น ค.ศ. 1748 เขาถูกเชิญให้ไปช่วยรังวัดที่ดินของลอร์ดแฟร์แฟ็กซ์ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของเทือกเขาบลูริดจ์ ค.ศ. 1749 เขาถูกแต่งตั้งให้อยู่ในสำนักงานของเขาเองแห่งแรก สำรวจ คัลเปเปอร์เคาน์ตี้ในรัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นดินแดนแห่งใหม่ และด้วยการสนับสนุนของพี่ชายต่างมารดาชื่อลอว์เรนซ์ วอชิงตัน เขามีความสนใจในสมาคม (Ohio Company) ซึ่งสำรวจแผ่นดินทางตะวันตก

ค.ศ. 1751 วอชิงตันยังเป็นนักเก็งกำไรในที่ดินอีกด้วย การที่เขาได้แต่งงานกับแม่ม่ายที่มีฐานะ ทำให้เขามีสมบัติและสถานะทางสังคมที่สูงยิ่งขึ้น เขาได้ที่ดิน 1 ใน 3 ของ 18,000 เอเคอร์ (73 ตารางกิโลเมตร) จากที่ดินตระกูลคัสทิสจากการแต่งงาน และได้รับส่วนที่เหลือในนามของลูกๆของมาร์ธา เขาได้ซื้อที่ดินเพิ่มเติมโดยส่วนตัวในที่ซึ่งปัจจุบันคือรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย อันเป็นผลจากการปฏิบัติหน้าที่ในการรบในสงครามกับฝรั่งเศสและอินเดีย ในปี ค.ศ. 1775 เขาได้มีที่ดินรวม 6,500 เอเคอร์ (26 ตารางกิโลเมตร) และมีทาสกว่า 100 คน ทำให้เขาเป็นวีรบุรุษจากสมรภูมิและเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่

สภาคองเกรสที่ 1 ได้ออกเสียงอนุมัติเงินเดือนของวอชิงตันที่ปีละ 25,000 ดอลลาร์ ซึ่งจัดว่ามีมูลค่ามากในขณะนั้น แต่เนื่องด้วยวอชิงตันเป็นผู้มีฐานะอยู่แล้วจึงปฏิเสธที่จะรับเงินเดือน เพราะเขาเห็นว่าการเข้ารับตำแหน่งเป็นการทำงานรับใช้ประเทศอย่างไม่เห็นแก่ตน แต่ด้วยการหว่านล้อมของสภาเขาจึงยอมรับเงินเดือนนั้น ซึ่งเรื่องนี้ได้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะเขาและบรรดา “บิดาผู้ก่อตั้งประเทศ” (Founding fathers) ต้องการให้ตำแหน่งประธานาธิบดีในอนาคตสามารถมาจากคนที่กว้างขวาง โดยไม่ถูกจำกัดด้วยสถานะทางเศรษฐกิจของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี

ภายหลังจากออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนมีนาคม ปี 2340 วอชิงตันกลับไปยังเมาต์เวอร์นอนกับความรู้สึกที่ผ่อนคลาย เขาให้เวลากับการทำการเกษตร ในปีนั้นเขาดูแลการสร้างโรงกลั่นเหล้าขนาด 2,250 ตารางฟุต (ยาว 75 กว้าง 30 ฟุต) หรือประมาณ 200 ตารางเมตร ซึ่งจัดว่าเป็นโรงเหล้าที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐใหม่นั้น โดยมีหม้อต้มกลั่นเหล้าทองแดง 5 หม้อ มีถังหมัก 50 ถัง (Mash tubs) ทดแทนในฟาร์มที่ไม่ได้กำไรในการดำเนินการ ในขณะนั้นช่วงเวลาประมาณ 2 ปี โรงกลั่นของเขาผลิตเหล้าได้ 11,000 แกลลอนที่ทำจากข้าวโพดและข้าวไรย์ มีมูลค่าทางธุรกิจ 7,500 ดอลลาร์ และยังมีการผลิตเหล้าที่ทำจากผลไม้อีกด้วย

แม้วอชิงตันจะนำพาประเทศไปสู่ระบอบสาธารณรัฐที่สร้างความเท่าเทียมกันของประชาชน และไม่ยอมรับระบอบกษัตริย์ แต่ก็ยังไม่มีการเลิกทาส วอชิงตันและคณะในสมัยนั้นเห็นความเท่าเทียมกันของประชาชน (ผิวขาว) แต่ยังมีทาสผิวดำอยู่ ที่บ้านของวอชิงตันก็มีทาส เขายังเคยซื้อทาสในสมัยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2332 แต่เขาก็มีความเห็นว่าการมีทาสเป็นสิ่งที่ไม่สมควร อย่างไรก็ตาม ระบบทาสในสหรัฐอเมริกาเลิกไปในสมัยประธานาธิบดีลินคอล์นในปี 2408 หรืออีก 66 ปีหลังวอชิงตันเสียชีวิต

การสถาปนาระบอบสาธารณรัฐและยกเลิกระบอบกษัตริย์ในสหรัฐอเมริกาจึงเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการปกครองในยุคสมัยใหม่โดยประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน และทำให้เขามีชื่อเสียงเป็นอมตะ


You must be logged in to post a comment Login