วันพฤหัสที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2567

มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล จับมือ สสส. ถอดบทเรียนผ่านเวทีเสวนา “แม่…ภาระที่แบกรับซ้ำยังถูกทำร้าย”

On August 10, 2020

u6

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ที่เดอะฮอลล์ บางกอก วิภาวดี 64 กรุงเทพฯ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  จัดเสวนา “แม่…ภาระที่แบกรับซ้ำยังถูกทำร้าย” เพื่อร่วมตีแผ่ความทุกข์ของหัวอกคนเป็นแม่ ที่ต้องแบกรับปัญหาของครอบครัวและถูกกระทำความรุนแรงจากสถานการณ์วิกฤตโรคโควิด-19 เพื่อร่วมกันรณรงค์ยุติปัญหาความรุนแรงภายในครอบครัวเนื่องในวันแม่แห่งชาติ  โดยภายในงานมีการแสดงละครสะท้อน “ชีวิตแม่ที่แบกรับและถูกทำร้าย” โดยทีมเฉพาะกิจเธียร์เตอร์

นางสาวรุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ รักษาการ ผอ.สำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สสส. กล่าวว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นต้นตอของปัญหาสำคัญใน 4 มิติ  ได้แก่  มิติที่ 1 ด้านสุขภาพ  ทำลายระบบภูมิคุ้มกัน เพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อในปอด เสี่ยงติดโควิดถึง 2.9 เท่า มิติที่ 2 ด้านอุบัติเหตุทางถนน กว่าร้อยละ 20 ของอุบัติเหตุทางถนน เกิดจากการ “ดื่มแล้วขับ” และจะเพิ่มสูงถึงร้อยละ 40 ในช่วงเทศกาล มิติที่ 3 ด้านเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 90,000 ล้านต่อปี   และมิติที่ 4 ด้านความรุนแรงในครอบครัว ที่มีทั้งผู้หญิงและเด็กที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงในครอบครัว  และเนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ  สสส.จึงร่วมกับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล  รณรงค์สร้างจิตสำนึก ตระหนักรู้ถึงปัญหาความรุนแรงในครอบครัว มีมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มักจะเป็นปัจจัยร่วมของปัญหา  จากสถิติที่มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลสำรวจ ชี้ชัดว่า ครึ่งปี 2563 ผู้หญิงถูกกระทำความรุนแรงเพิ่มขึ้น มีปัญหาเรื่องเพศที่เกิดขึ้น และมีการใช้ความรุนแรงในครอบครัวโดยเฉพาะช่วงวิกฤตโควิด – 19 ผู้หญิงได้รับผลกระทบอย่างมาก ไม่ใช่แค่เรื่องงานที่ถูกเลิกจ้าง หรือการถูกลดชั่วโมง แต่ยังถูกกระทำความรุนแรง โดยมีปัจจัยกระตุ้นจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดังนั้นการเสวนาวันนี้จึงเป็นการสะท้อนให้สังคมได้รู้และเข้าใจถึงปัญญาความรุนแรงในครอบครัว เพื่อที่จะมาช่วยกันแก้ไขให้ผู้หญิงปลอดภัยจากความรุนแรงและพิษภัยจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกัน

u1

นางสาวจรีย์ ศรีสวัสดิ์ หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมภาคีเครือข่าย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า มูลนิธิฯ สำรวจสถิติความรุนแรงในครอบครัวในรอบครึ่งปี 2563 โดยการรวบรวมข่าวจากหนังสือพิมพ์ 10 ฉบับ ตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 พบว่า มีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัวสูงถึง 350 ข่าว ในจำนวนนี้มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยกระตุ้น เนื้อหาข่าวมีการระบุเชื่อมโยงถึงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 74 ข่าว หรือ ประมาณร้อยละ 21.2 ของข่าวความรุนแรงในครอบครัวทั้งหมด  แบ่งตามประเภทข่าวความรุนแรง เป็นข่าวการฆ่ากันตาย 201 ข่าว คิดเป็นร้อยละ 57.4 รองลงมา ข่าวการทำร้ายกัน 51 ข่าว คิดเป็นร้อยละ 14.6 ข่าวการฆ่าตัวตาย 38 ข่าว คิดเป็นร้อยละ 10.9 ข่าวความรุนแรงทางเพศของบุคคลในครอบครัว 31 ข่าว คิดเป็นร้อยละ 8.9 ข่าวการตั้งครรภ์ไม่พร้อม 10 ข่าว คิดเป็นร้อยละ 2.9

u2

ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบข่าวความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดขึ้นในรอบครึ่งปี 2563  เทียบกับปี 2559 พบว่าสูงขึ้นถึงร้อยละ 50  และสูงขึ้นกว่าปี 2561 ร้อยละ12  โดยในรอบครึ่งปี พ.ศ.2563 ข่าวอันดับ 1 ยังคงเป็นข่าวการฆ่ากันในครอบครัว เป็นข่าวสามีกระทำต่อภรรยาสูงถึง 65 ข่าว โดยมีมูลเหตุการฆ่ามาจากหลายปัจจัย ทั้งความหึงหวง ระแวงว่าจะนอกใจ ปัญหาเรื่องทรัพย์สิน ขัดแย้งเรื่องเงิน ปัญหาธุรกิจ โมโหที่ภรรยาขัดใจ ความเครียด เมาเหล้า ติดยาเสพติดแล้วคลุ้มคลั่งหาเรื่องทะเลาะ รวมถึงมีอาการป่วย ข่าวภรรยากระทำต่อสามี 9 ข่าว มีมูลเหตุมาจากถูกสามีทำร้ายร่างกายก่อน ปัญหาความขัดแย้ง แค้นสามีนำเงินไปซื้อเหล้า หรือถูกสามีข่มขู่ ยิ่งไปกว่านั้นพบข่าวความรุนแรงทางเพศของบุคคลในครอบครัวสูงถึง 31 ข่าว แบ่งเป็นข่าวการข่มขืนโดยบุคคลในครอบครัวสูงถึง 30 ข่าว และข่าวการอนาจารโดยบุคคลในครอบครัว 1 ข่าว

“จากข่าวความรุนแรงในครอบครัวเห็นได้ว่า แม่ – เมีย ต้องแบกรับทั้งความคาดหวังของสังคมที่หล่อหลอมให้ดูแลครอบครัว ยังต้องรองรับอารมณ์ของสามี บางรายถูกสามีทำร้ายร่างกาย บางรายถูกสามีฆ่า บางรายสามีข่มขืนลูก หรือคนในครอบครัวข่มขืนลูก ในระดับครอบครัวจึงเห็นได้ชัดว่าผู้หญิงต้องแบกรับภาระที่หนักกว่าผู้ชาย ทางออกของปัญหา คือ ต้องรื้อสร้างวิธีคิดใหม่ โดย 1. ต้องให้เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องของทั้งพ่อและแม่ ทั้งการเลี้ยงลูก การทำงานบ้าน ต้องมีส่วนร่วมในการทำหน้าที่ไม่ปล่อยให้เป็นภาระของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เมื่อเกิดปัญหาความเครียดก็สามารถพูดคุยหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน 2.หน่วยงานภาครัฐต้องประชาสัมพันธ์ช่องทางการให้ความช่วยเหลือที่เป็นมิตร มีพื้นที่ให้ผู้ประสบปัญหาสามารถขอความช่วยเหลือได้ 3. หน่วยงานภาครัฐควรสร้างทางเลือกการมีอาชีพให้มากขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิงที่กำลังตกงานให้สามารถพึ่งตนเองได้ 4. คนในสังคมต้องไม่นิ่งเฉยต่อปัญหาความรุนแรงในครอบครัว หรือมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องในครอบครัว เมื่อพบเห็นเหตุการณ์ต้องแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อระงับเหตุได้อย่างทันท่วงที”

u5

น.ส.เอ (นามสมมุติ)  กล่าวว่า ทำงานเป็นพนักงานเย็บผ้าโรงงาน ช่วงสถานการณ์โควิด – 19 นอกจากจะได้รับผลกระทบถูกลดเวลาทำงานล่วงเวลา จนเงินไม่พอใช้ เพราะต้องเอาค่าจ้างรายวันไปใช้หนี้จนหมด ทำให้ไม่มีเงินให้ลูกไปโรงเรียนและซื้ออาหาร บางวันต้องเอาข้าวบูดที่เหลือจากโรงงานมาล้างน้ำ อุ่นให้ครอบครัวกินประทังชีวิต ส่วนสามีก็กินเหล้าทุกวัน เพราะเครียดที่รายรับไม่พอกับรายจ่ายและมีหนี้สินเยอะ พอเมาก็จะทุบตี ด่าทอด้วยคำที่หยาบคาย ทำลายข้าวของ ลูกต้องมาช่วยพาหนี

“สามีเป็นคนอารมณ์ร้อน พอดื่มเหล้าก็จะด่าและทุบตีเป็นประจำ เพราะโมโหที่เราไปกู้เงินมาใช้ในบ้านและส่งลูกเรียน บางครั้งเราโดนทำร้ายหนักจนลูกต้องชวนหนี เพราะทนเห็นภาพแบบนี้ไม่ไหว แต่ด้วยความเป็นเมียและแม่ทำให้หนีไม่ได้ เพราะต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัว เลยได้แต่สอนให้ลูกอดทนและไม่มองพ่อในแง่ลบ เพราะครอบครัวอื่นๆ ก็คงมีปัญหาความรุนแรงไม่ต่างจากเราเช่นกัน อยากฝากถึงหัวหน้าครอบครัว อยากให้ดูแลครอบครัวให้ดี มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาหารือ ช่วยกันแก้ไข เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัวตามมา”

น.ส.บี (นามสมมุติ) กล่าวว่า สามีเป็นชาวต่างชาติที่เพิ่งย้ายมาใช้ชีวิตที่ประเทศไทยด้วยกันได้ปีกว่า สถานการณ์โควิด – 19 ทำให้เกิดแรงกดดันในครอบครัวหนักมาก เนื่องจากสามีชอบที่จะทำกิจกรรมกับเพื่อนฝูง เมื่อเกิดสถานการณ์วิกฤตที่ต้องกักตัวอยู่กับบ้านจึงเกิดความเครียด จากที่ไม่เคยทะเลาะกัน ก็เริ่มมีปากเสียง เมื่อมีการปลดล็อค สามีก็ไปดื่มเหล้า สังสรรค์กับเพื่อน เมากลับมาก็ทำร้ายร่างกายต่อหน้าลูก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้ลูกชาย วัย 9 ขวบ ที่เคยเป็นเด็กร่าเริง เริ่มซึมซับพฤติกรรมความรุนแรงจากพ่อ เวลาไม่พอใจหรือโกธร จะกระแทกประตู ขยำกระดาษ เขวี้ยงกระดาษ รวมถึงชอบนั่งคนเดียว ไม่พูดกับใคร ในฐานะแม่ เราต้องลุกขึ้นทำอะไรบางอย่างเพื่อลูก จึงแจ้งความดำเนินคดีทำร้ายร่างกายกับสามี

u7

“เราไม่ได้เป็นคนที่ชอบเสพติดความเจ็บปวด ใช่มันอาจจะทนได้ แต่ความรู้สึกสุดท้ายที่เกิดขึ้นคือ ถ้าเรารักลูก ต้องทำเพื่อลูก อย่าให้ลูกต้องซึมซับพฤติกรรมความรุนแรงมากขึ้น เพราะพฤติกรรมเด็กยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ ดังนั้นเราต้องลุกขึ้นสู้ด้วยปัญญาไม่ใช่การใช้กำลัง การที่สามีทำร้ายร่างกายภรรยาไม่ใช่เรื่องธรรมดา แม้จะเจ็บปวดหรืออาย ก็ต้องขอให้กระบวนการทางกฎหมายเข้ามาคุ้มครองจากการถูกทำร้าย”


You must be logged in to post a comment Login