วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2567

มหาวิทยาลัยเด็ก

On June 9, 2020

คอลัมน์ : สำนักข่าวพระพยอม

ผู้เขียน : พระพยอม กัลยาโณ

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 10 มิ.ย. 63)

ช่วงนี้เด็กที่มาขอทุนที่วัดสวนแก้ว ปีนี้มาน้อยแต่อยู่นาน ทุกปีจะมากัน 400-700 คน แต่อยู่แค่เดือนกว่าๆ โรงเรียนเปิดก็กลับ แต่คราวนี้โรงเรียนไม่เปิด เด็กก็อยู่นานมาก อยู่กันถึง 70-80 วัน บางคนเกือบ 90 วัน ปรากฏว่า ตอนนี้เด็กรุ่นแรกๆที่มากลับแล้ว ก็ถามว่า หนูได้คนละเท่าไร คนหนึ่งบอกได้ 17,000 บาท อีกคนบอกได้ 15,000 ซึ่งเด็กที่ได้นั้น เขาก็เบิกไปใช้บ้างแล้ว ไม่ได้เฉพาะแค่ที่เขาเบิกได้เงินแค่นี้ ที่จริงเขาอาจจะได้ 20,000 บาท ถ้าเขาไม่เบิกใช้ แต่ก็ธรรมดา เด็กพวกนี้ต้องถือว่า เขาไม่ได้ใช้ช้อปปิ้ง กินเที่ยวเล่น เขายังคิดเก็บไปให้พ่อ ให้แม่ได้ชื่นอก ชื่นใจ

 

พูดถึงเรื่องโครงการเด็กมาทำงานที่วัดสวนแก้ว เคยมีคนผู้ใหญ่ที่วัดไปเที่ยว ไปเยี่ยมบ้านเด็กพวกนี้ เพราะพวกพี่เลี้ยงที่ดูแลกัน เขาก็ถูกน้องๆชวนไปเยี่ยมบ้าน แล้วมาเล่าให้ชื่นใจคำสองคำว่า บ้านเขามีประตูหน้าต่างได้ก็เพราะตุ๊เจ้าพยอม ทางเหนือเขาจะเรียกพระว่า ตุ๊เจ้า แล้วบ้านเขามีหลังคา มีหน้าต่าง มีข้างฝาอะไรต่างๆนาๆ เขาจะพูดคำว่า ตุ๊เจ้าพยอมทำให้เขามีหลังคา มีโน้น มีนี่ คิดว่า โครงการช่วยเหลือเด็กให้ทำงาน เมื่อตอนใหม่ๆก็มีคนว่า ทรมานเด็ก ใช้แรงงานเด็ก จะผิดกฎหมาย

เมืองไทยนี่ ลองมาถามเด็กดูซิว่า ถ้าเด็กเขาอยากทำแล้วจะไปไม่ให้เขาทำ ไปอ้างกฎหมายล็อคเด็ก ให้เด็กไปง่อยเปล่าๆ เด็กในเมื่อมีจิต มีอารมณ์ มีจิตวิญญาณอยากทำก็ควรให้เขาทำ แล้วเขาจะได้ประสบการณ์ในการทำ อาตมาคิดว่า วัดสวนแก้วเป็นมหาวิทยาลัยสำหรับเด็กด้วยอย่างหนึ่ง เพราะเราไม่ใช่ให้แต่เงิน ให้ความรู้ ให้คุณธรรม ให้ความเมตตา เรียกว่า ให้ความรู้ ความฉลาด คนไทยจะพูดคำตรงก็คือว่า ทำงานไม่เป็นมันมีเยอะมั้ย คนทำงานไม่เป็นมันเยอะเกินขนาดทำให้ชาติไม่เจริญ แต่ถ้าคนทำงานเป็น หรือถ้าเขาโตขึ้นไปแล้วไปเป็นรัฐบาล เขาทำงานเป็น ประเทศชาติก็ดี

หรืออย่างน้อยก็เป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน เป็นนายอำเภออะไรก็ตาม เขาก็จะทำงานเป็น เพราะเขามีประสบการณ์ทำงานเป็นตั้งแต่เด็ก ถ้าเราไม่ให้เขาทำตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นมาเขาอาจจะงงงานทำงานไม่ถูก อันนี้เสียหายแก่ชาติบ้านเมืองมาก เพราะฉะนั้น การที่วัดสวนแก้วมีโครงการให้เด็กมาทำงาน วัดนี้จะไม่แจกเงินแบบที่เขาแจกๆกัน เพราะว่า แจกเท่าไรมันไม่มีวันพอ แล้วเด็กจะไม่เห็นคุณค่าของเงิน ดูซิสมมุติเขาได้ 20,000 บาท อยู่ 70 วัน เขาใช้เงินไปแค่ 3,000 บาท เขายังนำเงินไปมอบให้พ่อแม่ได้ชื่นใจอีก 17,000 บาท หรือ 15,000 บาท

นี่เป็นเรื่องที่คิดแล้วก็ปีนี้เด็กก็โชคดีตรงที่ว่า เราเคยให้ 80 – 100 บาท ซึ่ง 100 ไม่เคยเกินสักปีหนึ่ง ที่แล้วๆมาอาจจะมีเด็กโต 150 บาท แต่ปีนี้ตัวเล็กอาตมาให้ 150 บาท หรือ 200 บาทหมด เรียกว่า ให้ 200 บาท เกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้เด็กๆถ้าขยันยังมีเบี้ยขยันอีก ให้เขาไปเบิกให้ 1,000 – 2,000 บาท ถือว่า เป็นขวัญกำลังใจ ดังนั้น เรื่องกฎหมายแรงงานระวังด้วย กฎหมายไทยอย่างหมอประเวศ วะสี ราษฎร์อาวุโส เขียนไว้ กฎหมายไทยเหมือนผีมัดตราสังข์บางกรณี บางเรื่อง ไปล็อคไว้ไม่ให้ทำอะไร กระดิกไม่ได้ ข้าราชการบางคนเลยอ้างผีมัดตราสังข์ กฎหมายมันห้าม

อย่างที่เคยเล่า คลองมันไม่ได้ใช้หรอก ปิดมาตั้งนาน สวะ ขยะเต็มหมด เขาใช้ถนน แทนที่จะปรับปรุงอะไรก็รีบเปลี่ยนปรับไม่ได้ กฎหมายห้ามไปยุ่งกับคลองอะไรแบบนี้ เมื่อกฎหมายบอกอย่าไปยุ่งกับใช้แรงงานเด็ก ก็ต้องดูว่า เด็กชอบงานมันมี ถ้าเด็กขี้เกียจก็ว่าไปอย่าง ถามเด็กก่อนเลยว่า มานี่อยากได้งาน อยากได้เงินใช่หรือไม่ อยากพึ่งตัวเอง ขยันใช่หรือเปล่า ถ้าใช่ก็ต้องให้เขาทำ ถ้าเขาหาเงินให้เขาทำ แต่ถ้าหาเรื่องไม่เอา หาเรื่องต่อยคนนั้น ชกคนนี้ รังแกเพื่อนไม่ให้อยู่ ก็ต้องให้เขาไป

เพราะฉะนั้น การที่วัดนี่ เมื่อก่อนนี้เขาว่า โรงเรียนวัด อาตมายังคิดถึงคำว่า โรงเรียนวัด สมัยก่อนนี้ สมเด็จเจ้าพระยากรมหลวงอะไรต่างๆ ขุนอะไรต่างๆ ขุนหลวงเจ้าพระยาพอเกษียณอายุ 60 ปีไปไหน ส่วนใหญ่ไปบวช เมื่ออดีตข้าราชการผู้ใหญ่ไปบวชก็สามารถถ่ายทอดเด็กวัดได้เยอะแยะ แต่เดี๋ยวนี้อย่างว่า อะไรก็ไม่รู้ เรียนวิศวะ ไปอะไรไป ถ้าเรียนหัวล้ำเลิศเลยไปเรียนหมอ ถ้าแย่หน่อยเป็นครู ถ้าไปไม่รอดให้บวชพระ อย่างนี้ทำให้เสียบุคลากรที่จะมาเป็นผู้ฝึก ผู้สอนให้แก่กุลบุตร กุลธิดาที่จะมาอยู่ในศาสนา ในวัดวาอาราม

เพราะฉะนั้น เราจึงต้องมีการฝึกเด็ก ให้เด็กได้ก้าวหน้าพัฒนาชีวิต ไม่ทราบกันหรือเปล่า หลวงพ่อพุทธทาสใช้คำว่า การงาน หน้าที่ การงานนี่ การทำงาน คือ การประพฤติธรรม เด็กก็ต้องอดทน ต้องมีความมุมานะ วิริยะ อุตสาหะ ไม่งั้นทำงานกลางแดด กลางอะไรไม่ได้หรอก นี่ต้องมาดูบ้าง เด็กที่บิดมอเตอร์ไซต์ เล่นเกมทั้งวี่ ทั้งวัน แต่เด็กวัดสวนแก้วเล่นงาน เล่นเลน เล่นโคลน เล่นต้นไม้ทั้งวัน มันจะต่างกันขนาดไหน คอยดูเถอะ อาตมา สิ่งหนึ่งที่ภูมิใจมาจนทุกวันนี้ก็คือ ไปเทศน์แล้วไปเจอเด็กที่เคยมาทำงานที่วัด เดี๋ยวนี้เขาได้เป็นหัวหน้าแผนกบ้าง

หรือเป็นหัวหน้าฝ่ายบริษัทอะไรต่างๆ เราไปเขาก็ช่วยถือย้าม ถือของอะไรต่างๆ แล้วเขาก็รำพึง รำพันว่า ประสบการณ์ที่เขาได้จากวัดสวนแก้ว ทำให้เขาได้รับการคัดเลือกให้เป็นหัวหน้าฝ่าย หัวหน้าบุคคล อันนี้ก็ต้องเรียกกันว่า ผลที่เกิดมาจากการมาฝึกฝน ฝึกงาน ฝึกอาชีพ เพราะฉะนั้น ใครอย่าไปเมตตาเด็กแบบอวิชชา สงสารเด็ก แล้วไม่ให้เด็กทำอะไร ต่อไปเด็กจะเป็นง่อยตาย ต้องคิดกันให้ดี พ่อแม่ที่ไม่ค่อยใช้เด็กนี่ มีหนังสือเขาเขียนไว้ดี “พ่อแม่รังแกฉัน” คือ ไม่ฝึกให้ฉันทำอะไรเลย ปล่อยให้ฉันกินๆนอนๆเที่ยวๆเล่นๆ จนฉันโตขึ้นมาทำอะไรไม่เป็น อยู่ไปก็เหมือนกับตายทั้งเป็น จึงเรียกว่า พ่อแม่รังแกฉัน

เพราะฉะนั้น ขอให้คิดซะว่า ช่วงนี้ช่วยกัน ฝึกฝนเด็กให้ชอบงาน รักงาน อย่าให้เด็กรักเกมส์ บ้าเกมส์ เล่นเกมส์ หลงเกมส์จนกระทั่งไมได้อะไรติดสมองเท่าไรเลย เอาล่ะ ยังไงก็ต้องบอกว่า วัดสวนแก้วยังจะดำรงความเป็นสถานภาพเป็นแหล่งให้ประโยชน์ทางปัญญา อย่าเป็นวัดที่จัดมหรรสพ สนุกสนาน บ้าบอ จนกลายทำให้วัดเป็นวิก วัดต้องเป็นสถานภาพเป็นแหล่งให้ประโยชน์ทางปัญญาให้ความรู้ถึงจะเป็นแหล่งเชิดชูแก่พระศาสนา

 

เจริญพร


You must be logged in to post a comment Login