วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567

เรียนให้เก่งต้องทำอย่างไร

On February 4, 2020

คอลัมน์ :โลกอสังหาฯ

ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่  7-14 กุมภาพันธ์ 2563)

ใครๆก็อยากเรียนเก่ง แต่ไม่รู้ต้องทำอย่างไรจึงจะเก่งได้ บางคนบอกพอรู้วิธีแต่หัวไม่ไป บางคนบอกหัวไปได้แต่ใจไม่ไปก็เลยเรียนไม่เก่งสักที เราต้องทำอย่างไรจึงจะตื่นรู้มาเรียนเก่ง เรียนเก่งทั้งในยามเป็นนักเรียนและในยามที่เราทำงานกันแล้วก็ตาม

ถ้าเราจะเรียนให้เก่ง ต้องเข้าใจก่อนว่า

1.คนทั่วไปที่ไม่ได้เรียนเก่งมาแต่เด็กก็เก่งได้ พัฒนาตนเองได้ ไม่ใช่อยู่ที่ “พรสวรรค์” ในการเรียนเก่งแต่อย่างไร ดังนั้น เราต้องไม่ท้อถ้ายังเรียนไม่เก่งในขณะนี้

2.เราจะเก่งได้ต้องตั้งเป้าหมาย ผมเคยไปเรียนภาษาอังกฤษ สัมฤทธิผลของคนเราย่อมแตกต่างกันที่เป้าหมาย คนที่มาเรียนเพราะว่างบ้าง อยากพอพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง จะประสบความสำเร็จได้น้อยกว่าคนที่เรียนเพื่อจะไปใช้ศึกษาต่อต่างประเทศ เพราะเป็นเป้าหมายที่สูงกว่านั่นเอง

3.บางวิชาเราต้องท่องจำ ผมอ่านตำราจนจำได้ว่าข้อสอบ 100 ข้อ คำตอบอยู่ที่หน้าไหนบ้าง แต่บางวิชาเราต้องทำความเข้าใจ อย่างเรขาคณิต ผมเคยเรียนได้แค่สิบเต็มร้อย แต่เมื่อเข้าใจแล้วก็ได้ร้อยเต็มร้อยเสมอ เป็นต้น

คราวนี้มาดูวิธีการทำให้ตนเองเป็นคนเรียนเก่งนั้น เราจะต้อง

1.ทุ่มเทเวลา เช่น วันหนึ่งนอน 7 ชั่วโมง ทำธุระส่วนตัว-เดินทางอีก 5 ชั่วโมง เวลาที่เหลืออีก 12 ชั่วโมง ต้องทุ่มเทให้กับการเรียน ถ้าเราให้เวลากับการเรียนน้อยเราก็ไม่เก่ง

2.ก่อนเรียนต้องอ่านหนังสือหรือศึกษาไปก่อนล่วงหน้า จะได้เข้าใจตอนเรียนมากขึ้น

3.ในห้องเรียนต้องตั้งใจเรียน อย่าวอกแวก

4.เวลามีคำถามต้องกล้าถามในห้อง หรือเดินไปถามอาจารย์ถึงห้องพักครู

5.ต้องจด short note ในประเด็นสำคัญๆจากตำราเรียน

6.เมื่อเรียนจบก็ต้องอ่านทบทวน

7.ศึกษาเพิ่มเติม เช่น ในกรณีภาษาอังกฤษอาจดูภาพยนตร์ที่ไม่พูดไทย ดูเป็นร้อยๆรอบ จะจำได้ทั้งคำพูด สำนวน สำเนียง ภาษาท่าทาง หรือในกรณีความรู้ก็อาจต้องอ่านตำราเปรียบเทียบ ซึ่งจะทำได้ก็ต้องทุ่มเทเวลานั่นเอง

8.ต้องติวหรือแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนๆ ในสมัยผมเรียนมัธยมฯเมื่อ 50 ปีก่อน บางคนจด short note เป็นภาษาจีน กลัวคนอื่นลอก อย่างนี้ไม่ไหว เราต้องตระหนักว่าความรู้ยิ่งให้ ยิ่งได้ และ Knowledge is not private property.

ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่พึงสังวรก็คือ

1.แม้เราไม่ชอบในบางวิชา ไม่ชอบครูที่สอน ไม่ชอบบรรยากาศในห้องเรียน แต่เราก็ต้องเรียนวิชานั้นให้ได้คะแนนสูงสุด เพื่อให้ได้คะแนนรวมสูงสุด อย่ายึดติดกับความชอบหรือไม่ชอบ เราต้องมองผ่านเลยไป

2.อย่าลืมนอนให้พอ ตอนสมัยผมเรียนหนังสือ หรือแม้จนถึงทุกวันนี้ ถ้าผมนอนตอน 3 ทุ่ม ก็จะตื่นตี 4 ขึ้นมาอ่านหนังสือหรือทำงาน นอนวันละ 7 ชั่วโมงก็พอ อย่านอนน้อยกว่านี้ อย่านอนมากจนเกินไป แรกๆตอนฝึกทำนั้น แทบจะคลานลุกขึ้นมาจากเตียง แต่ด้วยความมุ่งมั่นจึงฝึกฝนตนเองได้จนถึงทุกวันนี้

3.อย่าไปตกเป็นทาสของยาบำรุง เช่น ซุปไก่ รังนก สมุนไพร เครื่องดื่มชูกำลัง ฯลฯ เพียงแต่รับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ พักผ่อนเพียงพอก็ใช้ได้แล้ว ที่สำคัญสิ้นเปลืองไปเปล่าๆ เอาเงินไปทำบุญ ไปช่วยเหลือสังคม หรือไปซื้อความสุขทางด้านอื่นดีกว่า

4.ไม่ต้องไปติวหรือเรียนพิเศษ เพราะนอกจากสอนซ้ำๆกับที่เราเรียนแล้ว บางทีติวเตอร์ก็พาออกทะเล พูดนอกเรื่อง เสียเวลาไปเสียอีก แต่ในบางเงื่อนไขเราอาจต้องเรียนบ้าง เพราะครูที่สอนสอนได้ “ห่วย” มาก หรือเป็นการติวเพื่อการสอบบางอย่าง จะได้ทดลองสอบหรือรู้เคล็ดลับในการสอบ เป็นต้น

5.อย่าไปใส่ใจกับแรงกดดันจากการแข่งขัน ในบางครั้งมักมีการท้าทายแข่งขัน ประกวดประชันต่างๆ คนหนุ่มสาวอาจทนไม่ได้จนทำให้เสียสมาธิในการเรียน ผมยังจำได้ว่าเคยสอบเข้าเทพศิรินทร์ได้ที่หนึ่งของห้อง ทำให้มีแรงกดดันมาก สุดท้ายตกมาเหลือที่ 35 แต่ยังได้คะแนนเกือบ 80% (เพราะเก่งๆกันทั้งห้อง) เราต้องรู้จักปล่อยวาง และรู้จักยินดีกับผู้อื่น อย่าไปอิจฉาใคร เราต้องมุ่งมั่นเรียนให้ดีที่สุดเป็นสำคัญ

พูดถึงตรงนี้บางคนก็เลยสงสัยว่า แล้วผมเรียนเก่งแค่ไหน สมัยเรียนมัธยมฯที่เทพศิรินทร์ผมเคยได้ที่หนึ่งสาขาวิทยาศาสตร์ เพื่อนๆที่สอบเข้าหมอจุฬาฯอันดับต้นๆได้ก็ยังเคยแพ้-ชนะกันมา ผมเป็นตัวแทนโรงเรียนตอบปัญหาวิทยาศาสตร์ สอบแข่งขันคณิตศาสตร์ ตอนเรียน ม.ศ.4 ก็สอบเทียบเข้าธรรมศาสตร์โดยสอบเข้าได้คะแนนสูงสุดคนหนึ่ง จบปริญญาโทด้วยวิทยานิพนธ์ระดับดีเลิศ รวมทั้งวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก ได้ทำงานในโครงการขององค์การสหประชาชาติหลายแห่ง เป็นที่ปรึกษากระทรวงการคลังหลายประเทศ

ถ้าเราเรียนให้เก่ง เราก็จะมีเกียรติประวัติที่มาจากความสามารถ ไม่ใช่การไต่เต้าตามลำดับขั้น หรือไม่ใช่การ เลีย จากการ เส้น ใดๆ ซึ่งจะทำให้เราภูมิใจและมีศักดิ์ศรีในตัวเอง


You must be logged in to post a comment Login