วันพฤหัสที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2567

เอกสรณะ

On January 3, 2020

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่  3-10 มกราคม 2563)

คำสอนของศาสนามีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์เป็นเบื้องแรก เพราะความสงบสุขในจิตใจจะทำให้ผู้คนและสิ่งรอบข้างพลอยสงบสุขไปด้วย แต่เนื่องจากความสงบสุขเป็นเรื่องภายในตัวตนของมนุษย์หรือเป็นเรื่องของวิญญาณ ดังนั้น ทุกศาสนาจึงมีสรณะให้วิญญาณของมนุษย์ยึดเหนี่ยว

คำว่าสรณะ โดยศัพท์หมายถึง ที่พึ่ง ที่ระลึก ที่ยึดเหนี่ยว ที่เหนี่ยวรั้งใจมิให้เคว้งคว้าง เป็นที่พึ่งพิงอาศัย เป็นที่ให้ความอุ่นใจ แม้เพียงแค่ระลึกถึงก็ทำให้สบายใจ เกิดความอบอุ่นได้

เพราะมนุษย์มีชีวิตที่ประกอบด้วยวิญญาณและร่างกาย มนุษย์จึงมีความเป็นห่วงที่ทำให้จิตใจไม่สงบสุข นั่นคือ ห่วงเรื่องความปลอดภัยของชีวิต ทรัพย์สิน และห่วงเรื่องความไม่มีกิน ดังนั้น มนุษย์จึงแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นสรณะของตนเองในรูปของวัตถุบูชาหรือเครื่องรางของขลังที่มนุษย์เชื่อว่าสามารถปกป้องคุ้มภัยให้ตัวเองและสร้างความมั่งคั่งมีกินให้แก่ตน

ด้วยความเชื่อดังกล่าวสรณะของมนุษย์จึงมีรูปแบบที่ต่างกันไปตามจินตนาการของมนุษย์ที่เป็นผู้สร้างสรณะขึ้นมาเอง ไม่เพียงแต่ในศาสนาเท่านั้น ในระบบทุนนิยมมนุษย์ก็ยึดถือเงินตราเป็นสรณะ

อย่างไรก็ตาม สรณะที่มนุษย์สร้างขึ้นไม่สามารถทำให้มนุษย์มีความสงบสุขหรืออบอุ่นใจได้ บางคนมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้อยคอแต่ก็ยังต้องการองครักษ์ติดตาม องครักษ์ห่างกายเมื่อไรจะเริ่มรู้สึกกระวนกระวายไม่สบายใจขึ้นมาทันทีเพราะเกรงว่าจะถูกลอบทำร้าย เศรษฐีหลายคนยึดถือดอลลาร์เป็นสรณะ แต่พอค่าเงินดอลลาร์ตกก็เกิดอาการเครียดขึ้นมา

สรุปแล้วสรณะที่อยู่ในรูปตัวคนหรือวัตถุเงินตราไม่อาจเป็นสรณะที่แท้จริงสำหรับมนุษย์ได้ และที่สำคัญสรณะนั้นไม่สามารถบอกความจริงแห่งชีวิตแก่มนุษย์ได้ ด้วยเหตุนี้ศาสนาจึงบอกมนุษย์ให้รู้ว่าสรณะที่แท้จริงคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างทุกสิ่งซึ่งเรียกว่าพระเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์มโนสร้างกันขึ้นมาเอง

ในคัมภีร์ไบเบิลโมเสสได้กำชับลูกหลานอิสราเอลให้เคารพสักการะพระเจ้าองค์เดียว และสั่งห้ามสร้างหรือปั้นรูปเคารพขึ้นมาบูชาสักการะเป็นอันขาด หลังสมัยโมเสสจากไปลูกหลานอิสราเอลได้ยึดเอาหีบแห่งพันธะสัญญาที่ข้างในบรรจุสิ่งของเครื่องใช้ของโมเสสเป็นสรณะ แต่หีบแห่งพันธะสัญญานี้ก็ไม่สามารถปกป้องพวกลูกหลานอิสราเอลจากการถูกทำลายได้

หลังสมัยของโมเสสพระเยซูก็ได้มายืนยันธรรมบัญญัติของโมเสส นั่นคือ การมีพระเจ้าองค์เดียวเป็นสรณะ แต่กระนั้นหลังสมัยของพระเยซูความเชื่อในเรื่องนี้ได้ผิดเพี้ยนไปจนมีความเชื่อใน “ตรีเอกานุภาพ” เกิดขึ้น

allah

ชาวอาหรับก่อนสมัยนบีมุฮัมมัดมีสรณะเป็นรูปเคารพรอบก๊ะอฺบ๊ะฮฺถึง 360 รูป ทั้งๆที่ก๊ะอฺบ๊ะฮฺถูกสร้างขึ้นมาโดยอับราฮัมบรรพบุรุษของชาวอาหรับเพื่อการเคารพสักการะพระเจ้าองค์เดียว ไม่ว่าจะออกไปทำการค้าขายหรือรบทัพจับศึกชาวอาหรับจะมาวิงวอนขอความสำเร็จต่อรูปเคารพเหล่านี้ แต่ถึงกระนั้นชาวอาหรับต่างรู้ดีว่าเมื่อเกิดหายนภัยกลางทะเลทราย รูปเคารพที่ตัวเองยึดเป็นสรณะไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ จึงต้องมีการตั้งระบบตะกาฟุลเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของตัวเองขึ้นมา

คัมภีร์กุรอานเล่าว่า เมื่อชาวอาหรับที่เดินเรืออยู่กลางทะเลประสบพายุรุนแรงและเรือกำลังจะล่ม ชาวอาหรับไม่ได้เอ่ยชื่อรูปเคารพที่ตัวเองยึดเป็นสรณะเพื่อเรียกร้องขอความช่วยเหลือ แต่พวกเขาเอ่ยคำว่า “อัลลอฮฺ” พระเจ้าที่พวกเขาและบรรพบุรุษของพวกเขารู้จักดี แต่เพราะพระเจ้าเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ชาวอาหรับจึงปั้นรูปเคารพขึ้นมาตามจินตนาการของตัวเอง บางคนถือว่ารูปเคารพเหล่านี้เป็นสื่อกลางในการติดต่อกับพระเจ้าให้แก่ตน

เมื่อนบีมุฮัมมัดมาเผยแผ่อิสลาม ท่านได้บอกชาวอาหรับและมนุษย์ทั่วไปเช่นเดียวกับที่โมเสสและพระเยซูบอกสาวกของท่านว่า “ไม่มีสรณะอื่นใดนอกจากพระเจ้าองค์เดียว และมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์” ซึ่งหมายความว่าถ้าใครมีพระเจ้าองค์เดียวเป็นสรณะ คนผู้นั้นต้องปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้าที่นบีมุฮัมมัดนำมา

ปัจจุบันมุสลิมยังคงกล่าวถ้อยคำยืนยันการมีพระเจ้าองค์เดียวเป็นสรณะในทุกสถานการณ์ เพราะอิสลามมีคำสอนว่าการยึดถือหรือการกราบไหว้บูชาสิ่งอื่นเป็นสรณะถือเป็นบาปใหญ่ที่พระเจ้าไม่ให้อภัย

 


You must be logged in to post a comment Login