วันพฤหัสที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567

“พิชัย”ขอบคุณอัยการไม่ฟ้อง เตือน”บิ๊กตู่-สมคิด”เร่งแก้ไขอย่าแก้ตัวปมถูกสหรัฐตัดจีเอสพี

On October 31, 2019

วันนี้ (31 ต.ค.) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ขอขอบคุณสำนักงานอัยการที่ให้ความเป็นธรรมที่มีคำสั่งไม่ฟ้องตนในคดีปกนิตยสารไทม์ และการดูด ส.ส. 4.0 ซึ่งตนเชื่อแต่แรกว่าไม่ผิด เพราะเป็นการแสดงความเห็นอย่างบริสุทธิ์ใจ และตนยังไม่ได้กล่าวถึง คสช. ด้วยซ้ำ ขนาดเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำคดียังยอมรับกับตนเองและกับพยานที่ไปให้ปากคำ คาดว่าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำเพราะอาจถูกบังคับ ซึ่งหวังว่า ผบ.ตร. จะเห็นด้วยกับสำนักอัยการและยุติเรื่องนี้ เพื่อจะได้ไม่ตอกย้ำการใช้กระบวนการยุติธรรมเกินขอบเขตเพื่อกลั่นแกล้งผู้เห็นต่าง ในขณะที่พรรคพวกของ คสช. เช่น พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ถูกร้องเรียนว่าใช้สื่อรัฐนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยมีรองอธิบดีเป็นพยานและมีหลักฐานมัดแน่นกลับไม่ดำเนินคดีแต่อย่างใด มาตรฐาน rule of Law ของประเทศไทยจึงเสียหาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ และทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศด้วย

เรื่องดังกล่าวเป็นความพยายามที่จะปิดปากตนไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์เศรษฐกิจที่ย่ำแย่จากความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวในระดับที่ต่ำมาตลอด 5 ปีกว่า ตรงข้ามกับสิ่งที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พูดอย่างสิ้นเชิงที่พยายามแก้ตัวว่า เพราะเราโตแล้วสหรัฐจึงตัดจีเอสพี อีกทั้งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ออกมาพูดเสริมว่าไทยควรถูกตัดจีเอสพีนานแล้วเพราะไทยพัฒนาแล้ว อีกทั้งยังบอกว่าควรภูมิใจที่ไทยโตแล้วจึงถูกตัดจีเอสพี ซึ่งเป็นการแก้ตัวแบบมั่วๆเพียงเพื่อเอาตัวรอด ทั้งๆที่เป็นความเสียหายของประเทศ โดยไม่พูดถึงสาเหตุที่แท้จริง จะยิ่งทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ และยิ่งเป็นข้ออ้างให้สหรัฐตัดสิทธิจีเอสพีไทยแบบถาวรโดยชอบธรรม ทั้งๆที่รัฐบาลควรแก้ไขมากกว่าที่จะแก้ตัว และจะยิ่งทำความเสียหายเมื่อพูดแก้ตัวแบบนั้น

ความจริงเรื่องแรกที่ต้องยอมรับคือ การที่สหรัฐตัดสิทธิจีเอสพีของไทยจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ไม่ได้เล็กน้อยเหมือนที่รัฐบาลพยายามจะแก้ตัวและให้ข้าราชการออกมาพยายามจะกลบเกลื่อน ซึ่งสามารถดูได้จากราคาหุ้นของบริษัทกลุ่มที่ส่งออกที่ถูกตัดสิทธิจีเอสพีที่ราคาร่วงตกกันยกแผง การที่สหรัฐพิจารณาตัด 573 รายการ สหรัฐต้องมีตัวเลขในใจแล้ว และต้องการให้มีผลกระทบกับไทยอย่างแน่นอน อีกทั้งยังมีผลต่อภาพพจน์ของไทยว่าไม่ได้เป็นมหามิตรกับสหรัฐอย่างแนบแน่นเหมือนก่อน ซึ่งจะมีผลต่อการส่งออกและการลงทุนของไทยอย่างมาก การที่หลายบริษัทใหญ่ออกมาปฏิเสธว่าไม่กระทบอาจจะเป็นเพราะกลัวว่าหุ้นของบริษัทตัวเองจะตก อีกทั้งบริษัทใหญ่มีฐานการผลิตอยู่หลายประเทศ ซึ่งสามารถโยกย้ายการส่งออกโดยใช้ฐานการผลิตในประเทศอื่นส่งออกแทนได้ แต่ยอดการส่งออกของประเทศไทยก็จะลดลงอยู่ดี

ขณะที่ความจริงเรื่องที่สองที่ต้องยอมรับคือ การที่สหรัฐตัดสิทธิจีเอสพีไทยแสดงชัดเจนว่าสหรัฐมีความไม่พอใจต่อรัฐบาลไทยอย่างมากในบางเรื่อง ซึ่งรัฐบาลต้องศึกษาและหาทางแก้ไข หากจำกันได้หลังจากการเลือกตั้งและกำลังจะตั้งรัฐบาล หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ สื่อที่ทรงอิทธิพลของสหรัฐ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐอย่าได้มีความสัมพันธ์แบบปกติกับรัฐบาลไทยจากพฤติกรรมสืบทอดอำนาจที่ทำทุกวิถีทางของพลเอกประยุทธ์ การตัดสิทธิจีเอสพีอาจจะเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่ง หรืออาจจะเป็นเพราะนายสมคิดในฐานะรองนายกฯ ซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐบาล ได้ไปพูดที่ฮ่องกงแบบเข้าข้างประเทศจีนอย่างเต็มที่ ก็อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้สหรัฐโกรธได้ โดยส่วนตัวแล้วเชื่อว่าเหตุผลน่าจะมากกว่าเรื่องปัญหาสิทธิแรงงานที่ถูกกล่าวอ้าง ซึ่งรัฐบาลควรเร่งค้นหาและเร่งแก้ไข

การแก้ตัวของพลเอกประยุทธ์และนายสมคิดที่ยอมรับว่าเราโตขึ้นหรือจีดีพีสูงแล้ว เหมือนเป็นการยอมรับการตัดสิทธิจีเอสพีของสหรัฐ ทั้งๆที่ความจริงคือเศรษฐกิจไทยย่ำแย่มาตลอด 5 ปี อีกทั้งยังมีคนจนที่รับบัตรคนจนกว่า 14.5 ล้านคน ซึ่งแสดงถึงความเหลื่อมล้ำอย่างมาก จีดีพีที่โตไปกระจุกอยู่กับเศรษฐีและนายทุนเท่านั้น ไม่ได้มีการกระจาย อีกทั้งยอดการส่งออกของไทยที่มีสัดส่วนประมาณ 70% ของจีดีพี สัดส่วนของการส่งออกจำนวนมากมาจากบริษัทข้ามชาติที่มาลงทุนในไทยและใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก ประเทศไทยและประชาชนไทยแทบจะไม่ได้รับผลประโยชน์เลย ที่ได้จริงๆก็คือการจ้างงานและค่าแรงเท่านั้น ภาษีก็ไม่ได้เพราะได้สิทธิยกเว้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้พลเอกประยุทธ์และนายสมคิดควรจะต้องเข้าใจและนำไปอธิบายกับสหรัฐเพื่อให้ผ่อนคลายการตัดสิทธิจีเอสพี ไม่ใช่แก้ตัวและยอมรับแบบไม่ฉลาด เพราะสุดท้ายผลกระทบจะเกิดกับเศรษฐกิจไทยและประชาชนอย่างมาก

เข้าใจดีว่ารัฐบาลคงจะเดือดร้อนอย่างหนักจากการถูกสหรัฐตัดสิทธิจีเอสพี เพราะจะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง และยังเสียหน้าอย่างมาก เนื่องจากพลเอกประยุทธ์เพิ่งไปพบประธานาธิบดีทรัมป์ แต่พลเอกประยุทธ์และนายสมคิดจะต้องระวังคำพูดให้ดี อย่าพูดแบบแก้ตัวโดยไม่คิดให้ละเอียด ซึ่งสุดท้ายจะกลายเป็นผลเสียต่อประเทศ และจะยิ่งทำให้คนไทยลำบากมากยิ่งขึ้น


You must be logged in to post a comment Login