วันพฤหัสที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2567

ความมั่งคั่งที่มากับสงคราม

On September 27, 2019

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 27 กันยายน – 4 ตุลาคม 2562)

สงครามคือการเข่นฆ่ากันระหว่างมนุษย์ 2 ฝ่าย ตามคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอาน การเข่นฆ่ากันระหว่างมนุษย์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกระหว่างลูกชาย 2 คนของอาดัม คนพี่ชื่อเคนและคนน้องชื่ออาเบล สาเหตุของการเข่นฆ่าที่ทำให้พี่ฆ่าน้องเกิดจากความอยากได้ของคนอื่น

เคนและอาเบลต่างมีน้องสาวเป็นคู่แฝด ในยุคนั้นยังไม่มีหญิงอื่นให้จับคู่แต่งงานเพื่อขยายเผ่าพันธุ์ อาดัมจึงจัดให้เคนแต่งงานกับน้องสาวคู่แฝดของอาเบล และให้อาเบลแต่งงานกับน้องสาวคู่แฝดของเคน แต่เคนไม่พอใจ เพราะเขาต้องการแต่งงานกับน้องสาวคู่แฝดของตัวเอง ดังนั้น เขาจึงฆ่าอาเบลน้องชายของเขา

นับแต่นั้นมาการเข่นฆ่าระหว่างมนุษย์ก็เริ่มขึ้น และกลายเป็นสงครามเมื่อคนจำนวนมากจาก 2 ฝ่ายหรือ 2 เผ่าหรือ 2 ชาติรบกัน สาเหตุของสงครามยังคงวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลงจนถึงทุกวันนี้ นี่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าธาตุแท้ของมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยน แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือเครื่องมือและวิธีการเข่นฆ่ากันเท่านั้น

ในสังคมโบราณที่ยังไม่มีรัฐบาล เมื่อมีสงครามสมาชิกในสังคมต้องจัดหาอาวุธ กำลังคน พาหนะ และเสบียงด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรุกรานหรือฝ่ายต่อต้านการรุกราน เมื่อ 2 ฝ่ายเผชิญหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือการฆ่าฝ่ายตรงข้ามของตนให้เร็วที่สุดและมากที่สุด ไม่เพียงเพื่อชัยชนะเท่านั้น แต่ยังเป็นการถอนทุนการทำสงครามด้วย เพราะเมื่อฝ่ายตรงข้ามถูกฆ่า ทรัพย์สิน อาวุธยุทธภัณฑ์ และเชลย จะตกเป็นของผู้ฆ่า สงครามจึงไม่ต่างจากการฆาตกรรม

เมื่อสงครามมีแต่ความสูญเสียเลือดเนื้อ ชีวิต และทรัพย์สิน เผ่าที่อ่อนแอกว่าจะใช้วิธีการทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับเผ่าที่ใหญ่กว่าเพื่อการได้รับความคุ้มครอง

สังคมอาหรับในทะเลทรายก่อนหน้าอิสลามก็อยู่ในลักษณะดังกล่าว เผ่าไหนใหญ่กว่าและมีความเข้มแข็งกว่า เผ่านั้นจะมีเผ่าเล็กๆมากมายมาสวามิภักดิ์

เมื่อนบีมุฮัมมัดเริ่มเผยแผ่อิสลาม หัวหน้าเผ่าชาวอาหรับรู้สึกว่าสถานภาพและเกียรติภูมิของตนเองกำลังถูกคุกคามจึงร่วมกันต่อต้านภารกิจของนบีมุฮัมมัด แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครคิดเข่นฆ่าสังหารนบีมุฮัมมัด เพราะลุงของท่านเป็นหัวหน้าเผ่าใหญ่ที่ให้ความคุ้มครองท่าน

Battle

แต่เมื่อลุงของท่านเสียชีวิตและท่านต้องอพยพออกจากเมืองมักก๊ะฮฺไปยังเมืองมะดีนะฮฺ ชาวมักก๊ะฮฺได้ยกกองกำลังติดอาวุธประมาณ 1,000 คน มุ่งหน้าไปยังเมืองมะดีนะฮฺโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำจัดนบีมุฮัมมัดและสาวกของท่าน การเดินทัพมาครั้งนั้นชาวมักก๊ะฮฺมั่นใจในชัยชนะอย่างมากจนถึงกับกินเหล้าเต้นรำฉลองชัยชนะล่วงหน้ากันมาตลอดทาง

เมื่อนบีมุฮัมมัดและมุสลิมที่เพิ่งอพยพมาได้ 2 ปี รู้ข่าวการรุกรานจากชาวเมืองมักก๊ะฮฺ ท่านเพิ่งได้รับคำบัญชาจากพระเจ้าให้จับอาวุธต่อสู้ผู้รุกราน (การญิฮาดด้วยอาวุธ) ท่านจึงระดมมุสลิมได้ประมาณ 300 คน ที่อยู่ในสภาพขัดสน ไม่มีความพร้อมเรื่องอาวุธและเสบียง

แต่ด้วยความศรัทธาและความช่วยเหลือจากพระเจ้าที่ชาวมุสลิมมองไม่เห็นแต่ศัตรูจากมักก๊ะฮฺมองเห็นลงมาจากก้อนเมฆ กองทัพมักก๊ะฮฺจึงแตกพ่าย ทิ้งอาวุธ ทรัพย์สิน และเชลยจำนวนหนึ่งไว้ในสนามรบ สงครามครั้งนี้ทำให้มุสลิมเริ่มมีแหล่งที่มาของรายได้อีกแหล่งหนึ่งจากสนามรบ

แต่เพื่อมิให้ผู้ทำการรบมองว่าสงครามคือแหล่งรายได้ของตัวเองและเป็นแรงจูงใจให้เกิดการฆ่าฝ่ายตรงข้ามเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์ พระเจ้าจึงได้มีบัญชาลงมาให้นบีมุฮัมมัดจัดการทรัพย์สินที่รวบรวมได้จากสนามรบดังนี้

“จงรู้ไว้เถิดว่าทรัพย์สินอะไรก็แล้วแต่ที่สูเจ้าริบได้จากสงครามนั้น 1 ใน 5 ของมันสำหรับพระเจ้าและศาสนทูตของพระองค์ และสำหรับญาติสนิท และเด็กกำพร้า และผู้ขัดสน และผู้เดินทาง…”

นั่นหมายความว่าทรัพย์สินอะไรก็ตามที่มุสลิมเก็บได้ในสนามรบมิได้เป็นของคนที่เก็บได้ แต่ผู้เก็บได้ต้องนำมามอบให้นบีมุฮัมมัด และนบีมุฮัมมัดจะจัดการทรัพย์สินไปตามประสงค์ของพระเจ้า นั่นคือทรัพย์สินที่รวบรวมมาได้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของนบีเพื่อนำไปใช้จ่ายในครอบครัว ญาติสนิท เด็กกำพร้า ผู้ขัดสน และผู้เดินทาง เพราะนบีไม่มีรายได้สำหรับเลี้ยงครอบครัว และถูกสั่งห้ามรับสิ่งที่ผู้คนบริจาคให้ ทรัพย์สินส่วนที่เหลือจะถูกแบ่งสรรให้แก่ผู้เข้าร่วมสงครามโดยอยู่ในดุลยพินิจของท่านนบี

หลังจากสงครามครั้งนั้นแล้ว มีสงครามเกิดขึ้นหลายครั้งและฝ่ายมุสลิมได้รับชัยชนะเป็นส่วนใหญ่ ทรัพย์สินที่ได้จากสนามรบจึงเป็นแหล่งที่มาของรายได้อีกแหล่งหนึ่งของประชาคมมุสลิม ซึ่งทำให้เมืองมะดีนะฮฺมีความเข้มแข็งและมั่นคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


You must be logged in to post a comment Login