วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2567

ทำอย่างไรเมื่อเป็น ‘โรคลิมโฟม่า’

On June 7, 2019

“โรคลิมโฟม่า” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “มะเร็งต่อมน้ำเหลือง” เป็นภาวะการเจริญเติบโตอย่างผิดปกติของระบบต่อมน้ำเหลือง ซึ่งไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักจะเป็นผู้ที่อยู่ในภาวะพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะและได้ยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยเอดส์ และผู้ที่ได้รับสารเคมีบางชนิด

มะเร็งต่อมน้ำเหลืองแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ

1.มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน (Hodgkin Lymphoma) มีลักษณะเฉพาะคือ จะพบ Reed-Sternberg cell ซึ่งไม่มีในมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดอื่น ในแต่ละปีมีผู้ป่วยทั่วโลกเสียชีวิตจากมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนี้ประมาณ 25,000 คน

2.มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน (Non-Hodgkin Lymphoma) แบ่งออกเป็น 30 ชนิดย่อย โดยอาศัยอัตราการเจริญของเซลล์มะเร็ง สามารถแบ่งได้ 2 ชนิดคือ

2.1 ชนิดค่อยเป็นค่อยไป (Indent) มีการแบ่งตัวเซลล์มะเร็งค่อนข้างช้า ผู้ป่วยมีอาการค่อยเป็นค่อยไป แต่มักจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดด้วยวิธีการในปัจจุบัน

2.2 ชนิดรุนแรง (Aqqressive) มีอัตราการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งเร็ว ถ้าไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยอาจเสียชีวิตภายใน 6 เดือน-12 ปี แต่มีข้อดีคือ ถ้าหากรักษาทันท่วงทีโอกาสที่จะหายขาดก็มีมาก

อาการเริ่มต้นที่พบบ่อย

-คลำพบก้อนที่บริเวณต่างๆ เช่น คอ รักแร้ ขาหนีบ หรือเต้านม โดนที่ก้อนมะเร็งต่อมน้ำเหลือง แต่จะไม่มีอาการเจ็บ ซึ่งต่างจากการติดเชื้อที่มักจะมีอาการเจ็บที่ก้อน

-มีไข้ หนาว สั่น เหงื่อออกมากตอนกลางคืน คันทั่วร่างกาย

-เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลียไม่ทราบสาเหตุ

-ไอเรื้อรัง หายใจไม่สะดวก ต่อมทอนซิลโต

-ปวดศีรษะ (พบในมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในระบบประสาท)

อาการในระยะลุกลาม

-ซีด มีเลือดออกง่าย เช่น จุดเลือดออกตามตัว หรือจ้ำเลือด

-ในรายที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองภายในช่องท้องจะมีอาการแน่นท้อง หรืออาหารไม่ย่อย ท้องโตขึ้นจากการมีน้ำในช่องท้อง

*ต่อมน้ำเหลืองที่โตจะมีผลกดเบียดอวัยวะข้างเคียง เช่น หลอดเลือด หรือเส้นประสาท อาจทำให้เกิดอาการชาหรือปวดตามแขน ขาได้

การวินิจฉัยสามารถทำได้โดยการตัดชิ้นเนื้อเพื่อนำไปตรวจทางพยาธิวิทยา

แนวทางการรักษาในปัจจุบัน

1.การเฝ้าติดตามโรค ใช้ในกรณีผู้ป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดค่อยเป็นค่อยไป อยู่ในระยะที่ 1 และไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆ ระหว่างการเฝ้าติดตามโรคผู้ป่วยจะต้องได้รับการตรวจร่างกาย ตรวจเลือด หรือตรวจทางรังสีเป็นระยะๆตามแพทย์สั่ง

2.การใช้ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) ซึ่งจะออกฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งโดยไปรบกวนการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง แพทย์จะเป็นผู้เลือกชนิดของยาเคมีบำบัด โดยทั่วไปจะใช้หลายขนานร่วมกัน หรืออาจให้ร่วมกับการรักษาด้วยแอนติบอดี (Monoclonal Antibodies)

3.การใช้ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่มีฤทธิ์ในการจับกับโปรตีนบนผิวหนังของเซลล์มะเร็ง หลังจากนั้นจะมีการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็ง ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยในการทำลายเซลล์มะเร็งได้ในบริเวณกว้าง และส่งผลกระทบเพียงน้อยนิดต่อเนื้อเยื่อปกติ

4.การฉายรังสี (Radiation Therapy) คือการรักษาด้วยรังสีปริมาณสูงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง

5.การรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (Transplantation) แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ การปลูกถ่ายโดยอาศัยเซลล์ของผู้บริจาค และการปลูกถ่ายโดยอาศัยเซลล์ของผู้ป่วยเอง

ปัจจุบันสามารถปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากกระแสเลือดแทนที่จะใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูก ช่วยให้ผู้บริจาคไม่ต้องเจ็บตัวในการเจาะไขกระดูก

*แพทย์จะพิจารณาจากชนิดและระยะของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ซึ่งอาจจะใช้วิธีเดียวหรือแบบผสมผสานก็ได้

วิทยาการรักษาในปัจจุบัน ผู้ป่วยมีโอกาสที่จะหายขาดได้ถ้าหากเป็นระยะเริ่มแรกและได้รับการรักษาอย่างครบถ้วน รวมถึงร่างกายมีการตอบสนองดี จะสามารถหยุดการรักษาได้เกินกว่า 5 ปี เพราะโดยปกติผู้ป่วยจะเข้าใจว่าหายขาดเมื่อได้รับการรักษาอย่างครบถ้วนแล้ว

การดูแลรักษาสุขภาพ

ผู้ป่วยบางรายจะมีสภาพจิตใจที่ไม่ค่อยดีนัก และอาการของโรคอาจส่งผลให้เกิดภาวะทุพโภชนาการ ดังนั้น ผู้ป่วยและญาติจึงควรใส่ใจเรื่องอาหารของผู้ป่วยให้มาก อาหารที่เหมาะสมควรมีลักษณะดังนี้

-สุก สะอาด อุณหภูมิไม่สูงเกินไป

-อ่อนนุ่ม ง่ายต่อการเคี้ยวและกลืน

-อาหารที่ให้สารอาหาร พลังงาน และเส้นใยสูง สามารถรับประทานได้ แต่ผักสดควรล้างให้สะอาด ส่วนผลไม้ควรเลือกรับประทานชนิดที่ต้องปอกเปลือก เพื่อป้องกันสารตกค้างบริเวณเปลือก

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอตามสภาพร่างกายของผู้ป่วยเป็นสิ่งที่พึงกระทำเป็นกิจวัตร ซึ่งจะมีผลโดยรวมต่อร่างกายในการช่วยให้อวัยวะต่างๆทำงานดีขึ้น และช่วยกำจัดโรคที่ยังคงหลงเหลืออยู่ภายหลังจากที่ได้รับการรักษา

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะให้ความสำคัญเรื่องอาหารการกินแล้ว แต่เรื่องการดูแลสุขภาพจิตก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย เพราะหากบุคคลในครอบครัวและเพื่อนๆหมั่นให้กำลังใจ ผู้ป่วยก็จะมีสุขภาพจิตที่ดี และแน่นอนว่าย่อมส่งผลทางบวกต่อสุขภาพไม่มากก็น้อยครับ

 

 


You must be logged in to post a comment Login