วันพฤหัสที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2567

‘ต้อหิน’ โรคร้ายของดวงตาที่ไม่มีสัญญาณเตือน

On May 31, 2019

คอลัมน์ : โลกสุขภาพ

ผู้เขียน : พญ.เกศรินท์ เกียรติเสวี จักษุแพทย์โรคต้อหิน โรงพยาบาลกรุงเทพ

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 31 พฤษภาคม-7 มิถุนายน 2562 )

โรคต้อหินคือหนึ่งในปัญหาดวงตาที่อาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นตาบอด และสิ่งที่หลายคนอาจยังไม่รู้ก็คือต้อหินนั้นไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด หากเป็นแล้วแม้ได้รับการรักษาก็ไม่สามารถกลับมามองเห็นได้ดีดังเดิม

โรคต้อหินเป็นโรคที่พบได้ทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะช่วงอายุ 60-70 ปี ข้อมูลจากชมรมต้อหินแห่งประเทศไทยระบุว่า ในปี 2560 มีผู้ป่วยต้อหินทั่วโลกมากกว่า 65 ล้านคน และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 76 ล้านคนในปี 2020 หรือ พ.ศ. 2563 ที่น่าสนใจคือ แนวโน้มผู้ป่วยโรคต้อหินแบบเฉียบพลันมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ ต้อหินเป็นโรคความเสื่อมขั้วประสาทตาที่ทำให้สูญเสียการมองเห็น ซึ่งผู้ป่วยมักไม่ทราบว่าตนเองป่วยด้วยโรคนี้ เพราะไม่มีอาการบอกล่วงหน้า

ชนิดของโรคต้อหินแบ่งออกเป็น 1) ต้อหินปฐมภูมิ (Primary Glaucoma) ได้แก่ ชนิดมุมเปิด (Primary Open-Angle Glaucoma) แบ่งเป็นความดันตาปรกติและความดันสูง และชนิดมุมปิด (Primary Angle-Closure Glaucoma) แบ่งเป็นต้อหินชนิดเฉียบพลันและต้อหินชนิดเรื้อรัง 2) ต้อหินทุติยภูมิ (Secondary Glaucoma) เป็นผลมาจากสาเหตุอื่นๆ เช่น อุบัติเหตุทางตา เบาหวานขึ้นจอตา 3) ต้อหินแต่กำเนิด (Congenital Glaucoma) พบในเด็กแรกคลอด-3 ปี มาจากพันธุกรรมหรือสาเหตุอื่นๆ

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต้อหิน ได้แก่ กลุ่มคนที่ใช้ยาหยอดตากลุ่มสเตียรอยด์เป็นเวลานานๆ เกิดอุบัติเหตุกับดวงตา เช่น การกระทบกระแทกแรงๆที่บริเวณดวงตา และเกิดได้จากพันธุกรรม มีประวัติคนในครอบครัวเป็นต้อหินมาก่อน โดยอาการของโรคต้อหินคือ ปวดตา น้ำตาไหล ตามัวลง เห็นรุ้งรอบดวงไฟ และหากเป็นต้อหินแบบเฉียบพลันอาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย ซึ่งพบในผู้หญิงแถบเอเชียค่อนข้างมาก ความรุนแรงของโรคสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคต้อหินคือ ไม่สามารถรักษาแล้วหายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการไม่ให้แย่ลงไปกว่าเดิมได้ โดยคนไข้จะต้องมาพบจักษุแพทย์ทุกๆ 3 เดือน ที่สำคัญหากพบว่าเป็นโรคนี้แล้วควรรีบมารักษาโดยเร็ว ไม่ปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจร้ายแรงถึงขั้นตาบอดได้

การรักษาโรคต้อหินมี 3 วิธีการหลักๆ ได้แก่ 1.การใช้ยา ได้แก่ ยาหยอดตา ยารับประทาน และยาฉีด ซึ่งจักษุแพทย์จะรักษาทีละขั้นตอนแล้วดูผลการตอบสนองต่อการรักษาอย่างใกล้ชิด 2.เลเซอร์ ขึ้นอยู่กับชนิดต้อหิน ใช้เวลารักษาเพียงไม่นาน ส่วนใหญ่มักมีการให้ยาควบคู่ไปด้วยกัน 3.การผ่าตัด วิธีนี้จะใช้เมื่อผู้ป่วยรักษาด้วยยาและเลเซอร์แล้วไม่ได้ผล โดยการผ่าตัดขึ้นกับชนิดและความรุนแรงของต้อหิน สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือ การผ่าตัดรักษาต้อหินเป็นไปเพื่อลดความดันตา ไม่ใช่การผ่าตัดต้อออกไปแล้วหายขาด เพราะต้อหินเมื่อเป็นแล้วทำได้ดีที่สุดคือควบคุมอาการไม่ให้แย่ไปกว่าเดิม

ปัจจุบันพบโรคต้อหินในคนที่อายุ 30 กว่าๆเพิ่มขึ้น ซึ่งบ่งบอกว่าในอนาคตคนที่เป็นโรคนี้จะมีอายุน้อยลง ดังนั้น หากใครที่มีประวัติเสี่ยงหรือสงสัยว่าจะเป็นโรคควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตาโดยเร็ว สำหรับคนทั่วไปแนะนำให้ตรวจช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งการตรวจต้อหินในปัจจุบันจะสามารถทราบผลได้ทันทีด้วยการตรวจอย่างละเอียดโดยเครื่องสแกนวิเคราะห์จอประสาทตาและขั้วประสาทตา (Optical Coherence Tomography) และเครื่องตรวจลานสายตา (Computerized Static Perimetry) ทำให้สามารถวินิจฉัยโรคต้อหินได้อย่างชัดเจน

ในยุคที่สมาร์ทโฟนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว หากต้องใช้งานในตอนกลางคืนควรเปิดไฟให้สว่างเพื่อช่วยให้สบายตา และทุกๆ 20 นาทีถึงครึ่งชั่วโมงควรพักสายตาประมาณ 20 วินาทีถึงครึ่งนาที และหยอดน้ำตาเทียมแบบไม่มีสารกันเสียเพื่อป้องกันอาการตาแห้ง ที่สำคัญควรหมั่นตรวจเช็กดวงตากับจักษุแพทย์อย่างใกล้ชิดเพื่อรับมือโรคต้อหินได้ทันท่วงที

 


You must be logged in to post a comment Login