วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567

ศาลอุทธรณ์จำคุก”จุฑามาศ”50ปีรับสินบนงานบางกอกฟิล์ม

On May 8, 2019

ที่ห้องพิจารณา 8 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี เวลา 10.15 น.ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีสินบนข้ามชาติ หมายเลขดำ อท.14/2558, อท.46/2559 ที่ อัยการคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นางจุฑามาศ ศิริวรรณ อายุ 72 ปี อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ น.ส.จิตติโสภา ศิริวรรณ อายุ 45 ปี บุตรสาว เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานเป็นพนักงาน เรียก รับ หรือยอมรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์ใดสำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อการกระทำอย่างใดในหน้าที่ ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่, เป็นพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหาย หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ กระทำการใดๆ โดยมุ่งหมายไม่ให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมเพื่อเอื้อแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิตามสัญญาแก่หน่วยของรัฐ และเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6, 11 และพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนรอราคาหน่วยงานของรัฐ (ฮั้วประมูล) พ.ศ.2542 มาตรา 12 จากกรณีรับเงินตอบแทน สามี-ภรรยาชาวสหรัฐอเมริกา นักธุรกิจภาพยนตร์ เพื่อให้ได้สิทธิในการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ปี 2002-2007 (หรือปี พ.ศ.2545-2550) มูลค่ากว่า 60 ล้านบาท โดยอัยการ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 25 ส.ค.58 ที่ผ่านมา ซึ่งจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มี.ค.60 เห็นว่า การจัดจ้างโครงการเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ มีการกำหนดเงื่อนไขโดยวิธีตกลงราคาหรือวิธีพิเศษ ไม่เหมาะสม ไม่เป็นไปตามข้อบังคับของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2538 โดยเฉพาะโครงการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ปี 2546 ไม่เป็นการจ้างบริษัทที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ ที่มีประสบการณ์ที่เคยทราบหรือเคยเห็นความสามารถผลงานมาแล้ว โดยนางจุฑามาศ จำเลยที่ 1 คบคิดกับนายเจอรัลด์ และนางแพทริเซีย กรีน นักธุรกิจในสหรัฐฯ จัดตั้งบริษัทเข้ามาเป็นคู่สัญญากับ ททท. และยังเรียกรับเงินสินบนจากนายเจอรัลด์ โดยโอนเงินไปยัง น.ส.จิตติโสภา จำเลยที่ 2 กับเพื่อน 59 รายการเป็นเงิน 1,822,294 เหรียญสหรัฐ

พฤติการณ์ของ นางจุฑามาศ จำเลยที่ 1 จึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันเป็นความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (ฮั้วประมูล) พ.ศ.2542 มาตรา 12 และผิดฐานเรียกรับทรัพย์สินฯ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6, 12 ให้จำคุก นางจุฑามาศ จำเลยที่ 1 รวม 11 กระทงๆ ละ 6 ปี เป็นจำคุกทั้งสิ้น 66 ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงตามกฎหมายแล้ว ให้จำคุกสูงสุดเป็นเวลา 50 ปี

และจำคุก น.ส.จิตติโสภา จำเลยที่ 2 รวม 11 กระทงเช่นกัน กระทงละ 4 ปีโดยจำคุกทั้งสิ้น 44 ปี ขณะที่ศาลมีคำสั่งให้ริบเงินกระทำผิด 1,822,494 เหรียญสหรัฐ และดอกผลที่เกิดขึ้นให้ตกเป็นของแผ่นดินด้วย โดยเงินนั้นเป็นทรัพย์ที่ฝากอยู่ในธนาคารต่างประเทศ ศาลจึงได้กำหนดมูลค่าทรัพย์ที่สั่งริบนั้น เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 62,724,776 บาท

โดยหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วระหว่างอุทธรณ์ นางจุฑามาศ อดีตผู้ว่า ททท.และ น.ส.จิตติโสภา บุตรสาว จำเลยที่ 1-2 ถูกคุมขังอยู่ในทัณฑสถานหญิงกลาง เนื่องจากไม่ได้รับการประกันตัว ซึ่งวันนี้ศาลได้เบิกตัวจำเลยทั้งสองมาจากเรือนจำ ซึ่งทั้งสอง ก็ยังคงมีผิวพรรณที่สดใสไม่หม่นหมอง ขณะที่วันนี้ก็มีผู้มาให้กำลังใจด้วย 5-6 คน

ขณะที่ ศาลอุทธรณ์แผนกคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาและพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์แล้ว มีคำแปลคำให้การของเจ้าหน้าที่ FBI สหรัฐอเมริกา ที่ทำการสืบสวนสอบสวน ดำเนินคดีกับสามี-ภรรยาตระกูลกรีน ซึ่งได้มาตาม พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ.2535 โดยเมื่อนำมาพิจารณาประกอบกับพยานหลักฐานอื่นตามหลักการพิจารณาคดีอาญาแล้ว ก็รับฟังได้ว่านางจุฑามาศ จำเลยที่ 1 ได้สมคบโดยให้คำแนะนำกับสามี-ภรรยาตระกูลกรีนในการเข้ามาร่วมจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติในลักษณะของการฮั้วประมูลตามที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา

แต่ในส่วนของน.ส.จิตติโสภา บุตรสาว จำเลยที่ 2 นั้นในการฟ้องของอัยการโจทก์ ไม่ได้ระบุและนำสืบชัดเจนในการที่จะร่วมสนับสนุนกระทำผิดต่อการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ ปี 2550 และส่วนที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าเงินที่โอนเข้าบัญชีในต่างประเทศ นั้นเป็นเงินที่ได้จากการเป็นที่ปรึกษาของนายเจอรัลด์ กรีน ช่วงปี 2545 นั้นฟังไม่ขึ้นเนื่องจากปรากฏว่าเป็นการโอนเงินหลังจากที่นายเจอรัลด์ได้ทำสัญญาการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติแล้ว 2 สัปดาห์ และก็ไม่เคยปรากฏว่าเมื่อจำเลยจบการศึกษาปริญญาตรีจนกระทั่งมีการศึกษาต่อปริญญาโทนั้นจำเลยที่ 2 ได้ประกอบธุรกิจหรือมีประสบการณ์ทำงานเกี่ยวกับธุรกิจดังกล่าวมาก่อน จนจะได้รับค่าปรึกษาจากนายเจอรับด์กรีนคิดเป็นเงินไทยกว่า 60 ล้านบาทนั้น อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ดังนั้นศาลอุทธรณ์ฯ จึงเห็นควรพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก “น.ส.จิตติโสภา” จำเลยที่ 2 รวม 10 กระทงจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 11 กระทงๆละ 4 ปี รวมจำคุกทั้งสิ้น 40 ปี

ส่วน นางจุฑามาศ อดีตผู้ว่าฯ ททท. จำเลยที่ 1 คงจำคุกตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น 11 กระทงๆ ละ 6 ปี จำคุกทั้งสิ้น 66 ปีแต่เมื่อรวมโทษตามกฎหมายแล้วให้จำคุกสูงสุดเป็นเวลา 50 ปี

ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ยกคำสั่งริบทรัพย์ของศาลชั้นต้นที่ให้ริบเงินที่เป็นการกระทำผิดซึ่งเป็นเงินในบัญชีต่างประเทศกว่า 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐด้วย เนื่องจากเป็นการวินิจฉัยเกินคำขอ เพราะคดีนี้อัยการโจทก์ไม่ได้มีคำขอให้ริบของกลางหรือเงินใดๆ ไว้ท้ายฟ้อง และบทเฉพาะกาลตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 52 บัญญัติ ให้บรรดาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบที่ได้ยื่นฟ้องไว้ก่อนวันที่ พ.ร.บ.ดังกล่าวใช้บังคับนั้น ให้บังคับตามกฎหมายซึ่งใช้อยู่ก่อน ดังนั้นคดีนี้จึงต้องใช้บทบัญญัติกฎหมายคดีอาญาสามัญ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่นำมาตรการริบทรัพย์สินในคดีทุจริตไม่ว่าโจทก์จะมีคำขอหรือไม่ก็ตาม ตามมาตรา 31(2), มาตรา 32(2) และมาตรา 33 วรรคหนึ่งนั้นมาใช้กับคดีนี้ เป็นการพิพากษาเกินคำขอท้ายฟ้องของโจทก์

ด้านนายสุชาติ ชมกุล ทนายความจำเลยกล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าจำเลยจะยื่นฎีกาหรือไม่ เนื่องจากเราต้องรอคัดคำพิพากษาฉบับเต็มและกลับไปปรึกษากับคณะทำงานทนายความคดีนี้ซึ่งมีหลายคน เพื่อช่วยกันตรวจดูคำพิพากษาอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง

ขณะที่พนักงานอัยการซึ่งรับมอบหมายมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันนี้ ก็กล่าวเพียงว่า คดีนี้ ยังสามารถที่จะใช้สิทธิ์ยื่นฎีกาได้แต่ทั้งนี้คงต้องไปศึกษา ข้อกฎหมายก่อนว่า หลักการฎีกาจะเป็นไปตามกฎหมายเก่าหรือกฎหมายใหม่ ซึ่งระบบจะแตกต่างกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสร็จสิ้นแล้วซึ่งยังคงลงโทษจำเลยทั้งสองให้จำคุกนั้น เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็ได้ควบคุมตัวทั้งสองกลับไปคุมขังยังทัณฑสถานหญิงกลาง ซึ่งระหว่างที่ยืนฟังคำพิพากษาเป็นเวลากว่าชั่วโมงเศษนั้นจำเลยทั้งสอง ก็คงมีสีหน้าเรียบเฉย

ขณะที่คดีศาลได้แสวงหาข้อเท็จจริงไต่สวนพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยเสร็จเมื่อเดือน ธ.ค.59 ที่ผ่านมา รวมระยะเวลาพิจารณาคดีเสร็จสิ้นใน 1 ปี นับจากวันที่อัยการยื่นฟ้องคดีเมื่อปี 2558 ซึ่งฝ่ายนางจุฑามาศ อดีตผู้ว่า ททท. และบุตรสาว นำพยานบุคคล เข้าไต่สวนต่อมาศาล กว่า 10 ปากและตัวนางจุฑามาศ และบุตรสาวก็เข้าไต่สวนฐานะจำเลยด้วย และยังมีชาวต่างชาติ 3 ราย ซึ่งเป็นทนายความสามี-ภรรยานักธุรกิจภาพยนตร์สัญชาติอเมริกันในชั้นศาลอุทธรณ์ในต่างประเทศ และผู้ร่วมงานกับสามี-ภรรยาชาวอเมริกันร่วมเป็นพยานไต่สวนด้วย


You must be logged in to post a comment Login