วันพฤหัสที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2567

ผู้พิพากษาสหรัฐรู้จักนบีมุฮัมมัดทุกคน

On May 1, 2019

คอลัมน์ สันติธรรม
ผู้พิพากษาสหรัฐรู้จักนบีมุฮัมมัดทุกคน
โดย บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้วันสุข วันที่ 3-10 พฤษภาคม 2562)

ไม่เกินความจริงที่ตั้งชื่อบทความเช่นนั้น เพราะเมื่อผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐนั่งบนบัลลังก์ของแต่ละคนในห้องพิพากษา ทางด้านขวา ด้านหน้า และด้านซ้ายของผู้พิพากษาเหล่านั้น จะมีแผ่นภาพปูนปั้นที่แสดงถึงผู้ออกกฎหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกจำนวน 18 คน

บนภาพปูนปั้นทางด้านขวาเป็นภาพของคนผู้หนึ่งถือคัมภีร์กุรอานซึ่งเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของอิสลาม ภาพนี้ต้องการจะสื่อให้รู้ว่านี่คือนบีมุฮัมมัดผู้เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ออกกฎหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก เช่นเดียวกับโมเสส โซโลมอน ขงจื๊อ ฮัมมูราบี และคนอื่นๆ
muhammad lawgiver
ข้อความต่อไปนี้เป็นสิ่งที่เว็บไซต์ของศาลสูงสุดกล่าวเกี่ยวกับภาพปูนปั้นดังกล่าว :

“มุฮัมมัด (ค.ศ. 570-632) นบีแห่งอิสลามที่เห็นในภาพกำลังถือคัมภีร์กุรอานอยู่ คัมภีร์กุรอานเป็นแหล่งที่มาเบื้องแรกของกฎหมายอิสลาม ส่วนคำสอนและการปฏิบัติของนบีมุฮัมมัดเป็นคำอธิบายหลักการของคัมภีร์กุรอาน รูปดังกล่าวเป็นความพยายามด้วยความตั้งใจดีของอดอล์ฟ ไวน์แมน ประติมากรที่ต้องการให้เกียรตินบีมุฮัมมัด และมันไม่ได้เหมือนใบหน้าจริงของนบีมุฮัมมัดแต่ประการใด มุสลิมโดยทั่วไปไม่เห็นด้วยอย่างแรงต่อการปั้นหรือวาดรูปเพื่อนำเสนอนบีของตน”

รูปปูนปั้นของนบีมุฮัมมัดถูกนำไปติดตั้งในสมัยที่นายแฟรงค์กลิน ดี. รูสเวลท์ เป็นประธานาธิบดี และนายชาร์ลส์ อีแวนส์ ฮิวจ์ เป็นหัวหน้าผู้พิพากษา ไม่มีใครรู้ว่าศาลมีเจตนาอย่างไรในการมีส่วนร่วมทางสถาปัตยกรรมนี้ ในตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมที่เอารูปวาดหรือรูปปั้นของนบีมุฮัมมัดไปรวมไว้ในห้องศาลสูงสุดของสหรัฐในฐานะผู้ออกกฎหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก เพราะในสังคมสหรัฐเวลานั้นยังไม่มีความหลากหลายของผู้คนเหมือนสมัยนี้ ในตอนนั้นผู้หญิงเพิ่งมีสิทธิในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง และชาวอเมริกันสายเลือดญี่ปุ่นเป็นเป้าหมายของการถูกจับไปเข้าค่ายกักกัน

ในขณะที่ผู้มีการศึกษาดีในสังคมโลกรู้ถึงสิ่งที่นบีมุฮัมมัดได้ทำไว้ให้แก่โลก แต่ผู้คนอีกจำนวนมากยังได้รับข้อมูลข่าวสารผิดๆเกี่ยวกับนบีมุฮัมมัดและชะรีอ๊ะฮฺ ความจริงแล้วแนวทางของนบีมุฮัมมัดนั่นเองที่เป็นตัวอธิบายขยายความกฎหมายอิสลาม

นบีมุฮัมมัดเป็นผู้มองเห็นภาพสังคมที่ยุติธรรมและสงบสุข ท่านบรรลุถึงเป้าหมายนี้ในขณะที่ยังมีชีวิตด้วยการเคลื่อนไหวทางสันติภาพ ท่านเกลียดสงครามและชอบที่จะทำสัญญาสันติภาพกับศัตรูของท่านเสมอแม้มันจะทำให้ท่านเสียเปรียบและสาวกของท่านเสียประโยชน์ ท่านได้สร้างอาณาเขตแห่งสันติภาพครั้งแรกของท่านขึ้นในเมืองมะดีนะฮฺโดยไม่ต้องทำสงครามแต่ประการใด ท่านต่อสู้เพื่อป้องกันคนของท่านในอาณาเขตแห่งสันติภาพไม่เกิน 6 วันในชีวิต 63 ปีของท่าน ท่านต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสันติภาพที่จะประกันความยุติธรรมและเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะคนกลุ่มน้อยและผู้ถูกกดขี่

ทุกวันนี้มุสลิมทั่วโลกยังคงปฏิบัติตามกฎหมายอิสลามในส่วนที่เป็นเรื่องพิธีกรรมทางศาสนา จริยธรรม ศีลธรรม และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ มุสลิมดำเนินชีวิตตามชะรีอ๊ะฮฺทุกวันในการละหมาด การถือศีลอด การกินอาหารฮาลาล การบริจาค การเลี้ยงดูครอบครัวและช่วยเหลือสังคม

ชะรีอ๊ะฮฺก็เหมือนฮาลาชาซึ่งชาวยิวในสหรัฐปฏิบัติ ชาวยิวในสหรัฐถึงขนาดมีศาลยิวในสหรัฐซึ่งเรียกว่าเบธดิน แต่มุสลิมไม่เคยมีศาลเช่นนั้น

ชาวอเมริกันมุสลิมอยู่ภายใต้กฎหมายของสหรัฐเหมือนกับพลเมืองอื่นๆ ไม่มีมุสลิมคนใดเรียกร้องให้นำชะรีอ๊ะฮฺมาแทนรัฐธรรมนูญของสหรัฐ ชะรีอ๊ะฮฺไม่ใช่รัฐธรรมนูญและไม่ใช่กฎหมายทั้งหมด แต่มันเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของผู้ศรัทธาในพระเจ้า

ดังนั้น การนำชะรีอ๊ะฮฺไปบังคับใช้กับคนทั่วไปจึงเป็นการขัดกับชะรีอ๊ะฮฺในตัวเอง ที่สำคัญคือชะรีอ๊ะฮฺนั้นมีไว้ใช้กับมุสลิมเท่านั้น ไม่ได้ใช้กับผู้ที่มิใช่มุสลิม


You must be logged in to post a comment Login