วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2567

นิ่วในถุงน้ำดี…ภัยร้ายผู้หญิงวัย 40+

On April 26, 2019

คอลัมน์ : โลกสุขภาพ

ผู้เขียน : พจนา

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่  26 เมษายน – 3 พฤษภาคม 2562 )

โรคนิ่วในถุงน้ำดีเป็นโรคในระบบทางเดินอาหารที่มีอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตหากไม่รีบรักษา มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยพบได้ตั้งแต่อายุ 30-50 ปี ความน่าสนใจของโรคนี้คือ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเข้าใจและคิดว่าเป็นโรคกระเพาะอาหารจึงหายามารับประทานเอง จนกระทั่งอาการรุนแรงจึงมาเข้ารับการรักษา ฉะนั้นการรู้ทันโรคนิ่วในถุงน้ำดีจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย

ถุงน้ำดี (Gallbladder) คืออวัยวะบริเวณช่องท้องที่ทำหน้าที่ในการกักเก็บน้ำดี ทำให้น้ำดีเข้มข้นเพื่อพร้อมสำหรับย่อยไขมัน นิ่วในถุงน้ำดี (Gall Stone) เป็นโรคในระบบทางเดินน้ำดีที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากการตกตะกอนของหินปูนหรือโคเลสเตอรอลในน้ำดีทำให้เกิดนิ่ว โดยลักษณะนิ่วมี 3 ประเภทได้แก่ 1.นิ่วจากโคเลสเตอรอล (Cholesterol Stones) อาจเป็นสีเหลือง ขาว เขียว เกิดจากการตกตะกอนของไขมัน เนื่องจากโคเลสเตอรอลเพิ่มมากขึ้นในถุงน้ำดี 2.นิ่วจากเม็ดสี (Pigment Stones) อาจเป็นสีคล้ำดำ เกิดจากความผิดปรกติของเลือด โลหิตจาง ตับแข็ง 3.นิ่วโคลน (Mixed Gallstones) เป็นคล้ายโคลน เหนียว หนืด เกิดจากการติดเชื้อใกล้ตับ ท่อน้ำดี ตับอ่อน

อาการที่บ่งบอกโรคนิ่วในถุงน้ำดี อาจไม่แสดงอาการใดๆหรืออาจแสดงแค่บางอาการแต่ไม่ครบทุกอาการดังนี้ ท้องอืด แน่นท้อง อาหารไม่ย่อยหลังรับประทานอาหารไขมันสูง เป็นๆหายๆเรื้อรัง ปวดใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงด้านขวา ปวดร้าวที่ไหล่หรือหลังขวา คลื่นไส้อาเจียน (อาการที่เกิดจากถุงน้ำดีติดเชื้อ) มีไข้หนาวสั่น ดีซ่าน ตัว-ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระมีสีขาว (อาการเมื่อก้อนนิ่วอุดในท่อน้ำดี) ทั้งนี้ ก้อนนิ่วที่ตกตะกอนอาจมีขนาดเล็กเท่าเม็ดทรายหรือใหญ่ขนาดลูกกอล์ฟ และมีจำนวนได้ตั้งแต่หนึ่งก้อนไปจนถึงหลายร้อยก้อน หากมีขนาดใหญ่อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดมะเร็งถุงน้ำดีได้

กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี ได้แก่ เพศหญิงที่อายุ 40 ปีขึ้นไป หรือผู้สูงอายุที่อายุ 60 ปีขึ้นไป คนที่มีภาวะอ้วน น้ำหนักมาก มีโรคประจำตัว อาทิ โคเลสเตอรอลสูง โรคเบาหวาน โรคเลือด โลหิตจาง ธาลัสซีเมีย รวมถึงผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หลายครั้ง รับประทานยาคุมกำเนิด รับประทานฮอร์โมนจากภาวะหมดประจำเดือน ผู้ที่อดอาหาร (ถือศีลอด) คนที่ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว คนที่รับประทานยาลดไขมันในเลือดบางชนิด และมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีมาก่อน

การตรวจวินิจฉัยที่ดีคือ การพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโดยการทำอัลตราซาวนด์ช่องท้องส่วนบน จะทำให้เห็นรายละเอียดของก้อนนิ่วในถุงน้ำดีได้ชัดเจน หลายคนมีข้อสงสัยว่าทำไมนิ่วในถุงน้ำดีพบมากในผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไป เป็นเพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนมีส่วนทำให้โคเลสเตอรอลในน้ำดีสูงขึ้น ถ้าหากมีโรคไขมันในเลือดสูง รับประทานยาคุมกำเนิดหรือรับประทานฮอร์โมนจากภาวะหมดประจำเดือน มีบุตรหลายคน เป็นโรคเบาหวาน โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีทั้งสิ้น ดังนั้น หากมีอาการน่าสงสัยควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการตรวจอัลตราซาวนด์โดยเร็วที่สุด

การรักษาผู้ป่วยที่มีอาการจากนิ่วในถุงน้ำดี หากผ่าตัดได้แพทย์จะแนะนำให้ผ่าตัดเพื่อเอาถุงน้ำดีออกเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งรูปแบบการผ่าตัดมีทั้งการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องที่จะใช้รักษาผู้ป่วยในกรณีที่มีการอักเสบมาก ถุงน้ำดีแตกทะลุในช่องท้อง จำเป็นต้องพักฟื้นค่อนข้างนาน และอีกหนึ่งรูปแบบคือการผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopic Surgery) ที่แพทย์จะเจาะรูขนาดเล็กบริเวณหน้าท้องด้วยเครื่องมือ จากนั้นใส่กล้องเข้าไปเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนทุกมิติ ก่อนจะตัดขั้วและเลาะถุงน้ำดีให้หลุดออก วิธีนี้ช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นอวัยวะภายในได้ชัดเจน แผลมีขนาดเล็ก เจ็บตัวน้อย ลดโอกาสการติดเชื้อ ผู้ป่วยฟื้นตัวไว ซึ่งการผ่าตัดรักษาควรทำภายใน 72 ชั่วโมง และหลังจากผ่าตัดถุงน้ำดีออกไปแล้วผู้ป่วยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการย่อยอาหาร เพราะถุงน้ำดีเป็นเพียงที่เก็บพักน้ำดี แต่การรับประทานอาหารควรลดของมัน เน้นรับประทานผักและปลามากขึ้น เพื่อลดอาการท้องอืด และสร้างสุขภาพดีได้ในระยะยาว

โรคนิ่วในถุงน้ำดีสามารถป้องกันได้ โดยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เลี่ยงของทอดของมัน ของหวาน ระวังไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคอ้วน ที่สำคัญควรตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี และหมั่นสังเกตความผิดปรกติของร่างกาย หากมีอาการผิดปรกติในลักษณะที่ชวนสงสัยควรรีบพบแพทย์ทันที ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจรุนแรงถึงขั้นถุงน้ำดีเน่าหรือแตกจนเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด หรือเกิดมะเร็งถุงน้ำดีในอนาคตได้

 


You must be logged in to post a comment Login