วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2567

ที่มาของชะรีอ๊ะฮฺ

On April 24, 2019

คอลัมน์ สันติธรรม
ที่มาของชะรีอ๊ะฮฺ
โดย บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้วันสุข วันที่ 26 เมษายน – 3 พฤษภาคม 2562)

หลังจากที่โมเสสนำพวกลูกหลานอิสราเอลอพยพออกมาจากอียิปต์และข้ามทะเลแดงไปแล้ว พวกลูกหลานอิสราเอลจำเป็นต้องมีกฎหมายในการจัดระเบียบสังคม พระเจ้าจึงประทานคัมภีร์โตราห์หรือบัญญัติสิบประการแก่โมเสสเพื่อใช้ในการปกครอง คัมภีร์โตราห์จึงเป็นกฎหมายของพวกลูกหลานอิสราเอลในเวลานั้นจนถึงวันนี้

เช่นเดียวกัน ในสมัยของนบีมุฮัมมัดชาวอาหรับเป็นชนเผ่าที่ไม่มีรัฐบาลกลาง เมื่อเกิดความขัดแย้งชาวอาหรับจึงตัดสินกันด้วยกำลัง เผ่าไหนใหญ่กว่าจะเป็นฝ่ายชนะ
Shariah
สถานการณ์ในแผ่นดินอาหรับเป็นเช่นนี้มานานหลายศตวรรษจนกระทั่งพระเจ้าได้ประทานคัมภีร์กุรอานแก่นบีมุฮัมมัดมาใช้ในการปกครอง และเนื่องจากคัมภีร์ทั้งสองมาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน บัญญัติสิบประการจึงมีอยู่ในคัมภีร์กุรอานด้วยเช่นกัน

ระหว่างที่ยังมีชีวิตนบีมุฮัมมัดได้ใช้คัมภีร์กุรอานเป็นธรรมนูญในการปกครองและการพิพากษา แต่เนื่องจากธรรมนูญคือกรอบกฎหมายกว้างๆที่ไม่ได้ลงรายละเอียด นบีมุฮัมมัดจะเป็นผู้ทำหน้าที่อธิบายขยายความหรือแสดงแบบอย่างให้เห็น คำพูดและแบบอย่างของนบีมุฮัมมัดถูกเรียกว่า “ซุนนะฮฺ” ในสมัยที่นบีมุฮัมมัดมีชีวิต เมื่อมีปัญหาใดเกิดขึ้นคำตัดสินของนบีมุฮัมมัดถือเป็นอันสิ้นสุด

หากจะเปรียบคัมภีร์กุรอานเป็นรัฐธรรมนูญ คำพูดและแบบอย่างของนบีมุฮัมมัดคือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ตัวอย่างเช่น คัมภีร์กุรอานสั่งให้ผู้ศรัทธาในพระเจ้าละหมาดวันละห้าเวลา แต่ไม่ได้ระบุรายละเอียดว่าในการละหมาดจะต้องอ่านอะไรเมื่ออยู่ในท่าทางต่างๆ นบีมุฮัมมัดจะเป็นผู้บอกให้รู้และแสดงแบบอย่างให้ดู หลังจากนั้นมุสลิมจะยึดแบบอย่างของนบีมุฮัมมัดในการปฏิบัติตาม

ขณะที่มีชีวิตนบีมุฮัมมัดเป็นทั้งนบีและผู้นำของรัฐอิสลาม เมื่อนบีมุฮัมมัดเสียชีวิตตำแหน่งความเป็นนบีได้สิ้นสุดลง เพราะคัมภีร์กุรอานถูกประทานมาครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีนบีอีก แต่สังคมต้องมีผู้นำและผู้นำต้องใช้คัมภีร์กุรอานกับแบบอย่างคำสอนของนบีมุฮัมมัดเป็นบทบัญญัติในการปกครองต่อไป

แม้นบีมุฮัมมัดได้เสียชีวิตไปแล้ว หากมีปัญหาใดๆเกิดขึ้นในแผ่นดินอาหรับ สาวกผู้ใกล้ชิดที่ยังมีชีวิตและเป็นที่เคารพจะเป็นผู้วินิจฉัยปัญหาให้โดยยึดโยงอยู่กับบทบัญญัติในคัมภีร์กุรอานและแบบอย่างคำสอนของนบีมุฮัมมัด

เมื่ออิสลามแผ่ขยายออกไปยังส่วนต่างๆของโลก มุสลิมต้องเผชิญปัญหาหลายอย่างที่ไม่เคยพบในแผ่นดินอาหรับสมัยนบีมุฮัมมัดยังมีชีวิต เช่น มุสลิมในแถบสแกนดิเนเวียจะต้องละหมาดและถือศีลอดอย่างไรในเมื่อกลางคืนมีเวลาแค่เพียง 2 ชั่วโมง ในขณะที่แผ่นดินอาหรับมีเวลากลางคืน 12 ชั่วโมง

เมื่อเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นโดยที่นบีมุฮัมมัดและสาวกผู้ใกล้ชิดไม่อยู่ การวินิจฉัยปัญหาเพื่อตอบสนองความต้องการทางศาสนาของมุสลิมจึงมีขึ้นโดยผู้ทรงความรู้ทางศาสนา ไม่ต่างอะไรไปจากรัฐบาลที่เผชิญปัญหาทางกฎหมายต้องส่งประเด็นปัญหาไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ

ในการวินิจฉัยปัญหาที่ไม่เคยเกิดขึ้นในสมัยแรกของอิสลาม บรรดาผู้ทรงความรู้ได้วางระเบียบการวินิจฉัยบางอย่างไว้ประกอบการพิจารณาเพื่อให้การตัดสินเป็นไปตามบทบัญญัติของคัมภีร์กุรอานและแบบอย่างของนบีมุฮัมมัด เช่น วัตถุประสงค์ของศาสนา ประเพณีท้องถิ่น บริบทของสังคม เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่เคยมีในสมัยนบีมุฮัมมัด มุสลิมสามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้หรือไม่ เมื่อบรรดาผู้ทรงความรู้วินิจฉัยแล้วจึงได้มีคำวินิจฉัยว่าสามารถซื้อขายได้โดยมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้

หุ้นที่จะซื้อขายต้องไม่ใช่หุ้นของกิจการที่เกี่ยวข้องกับดอกเบี้ย สิ่งมึนเมา กิจการบันเทิง และกิจการค้าอาวุธ
สัดส่วนของหนี้สินกับทุนของกิจการต้องไม่เกิน 30%

หากกิจการมีดอกเบี้ยรับต้องไม่เกิน 5-10% ของรายได้ตามบริบทของสภาพทางเศรษฐกิจในแต่ละสังคม และต้องไม่เอาดอกเบี้ยมาเป็นรายได้ของกิจการ เป็นต้น

คำวินิจฉัยจากบรรดาผู้ทรงความรู้ทางศาสนานี้เองที่เป็นที่มาของกฎหมายอิสลามที่เรียกว่าชะรีอ๊ะฮฺ


You must be logged in to post a comment Login