วันพฤหัสที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2567

ยังไม่เจอสูตรที่ใช่?

On April 4, 2019

คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่  5 – 12 เมษายน   2562)

ถือเป็นปรากฏการณ์การรณรงค์รวบรวมรายชื่อถอดถอนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ change.org ที่มีผู้สนับสนุนกว่า 838,320 คน (2 เมษายน) เครือข่ายภาคประชาชน และ 26 เครือข่ายในมหาวิทยาลัยต่างๆทั่วประเทศก็ออกมาแสดงจุดยืนให้ถอดถอน กกต. ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นเรศวร เกษตรศาสตร์ ขอนแก่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ศิลปากร มหิดล บูรพา รังสิต มหาสารคาม ม.อ.ปัตตานี และเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ฯลฯ

ผู้ไม่หวังดีบิดเบือนข่าวสาร

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ออกสารจากนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 1 เมษายน 2562 มีใจความตอนหนึ่งว่า มีผู้ไม่หวังดีบางคนบางกลุ่มได้พยายามบิดเบือนข่าวสารข้อเท็จจริงในหลายๆประเด็น มีการใช้โซเชียลมีเดียและใช้บุคคลบางกลุ่มเข้ามาปลูกฝังแนวคิดที่ไม่ถูกต้องแก่ประชาชนทั่วไป เพื่อมุ่งหวังให้บ้านเมืองเกิดความไม่สงบ และบ่อนทำลายสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แต่รัฐบาลและ คสช. มิได้ใช้อำนาจพิเศษมาดำเนินการใดๆทั้งสิ้น

จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่พี่น้องประชาชนทุกคนต้องช่วยกันสอดส่องดูแล ผู้ปกครองต้องเอาใจใส่ลูกหลานและบุคคลใกล้ชิด ครูอาจารย์ต้องอบรมบ่มนิสัยดูแลลูกศิษย์อย่างเข้าถึง ข้าราชการดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาและครอบครัว สิ่งสำคัญคือการรับรู้ข่าวสารจะต้องมีการพิจารณาอย่างมีเหตุมีผล ศึกษาให้ดี ร่วมมือร่วมใจช่วยกันปกป้องบ้านเมืองไม่ให้สั่นคลอนหรือกลับไปสู่ความวุ่นวายได้ ประเทศชาติจะไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างมั่นคงและยั่งยืน

ยอมรับกติกาแล้วไปสู้ในสภา

พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เปิดใจถึงสถานการณ์การเมืองขณะนี้ว่า นั่งคิดทบทวนมา 2 คืน สรุปได้ว่าตนเคยให้ข่าวหลายครั้ง แต่แปลกที่ไม่เข้าใจกัน ตนใช้คำว่า พล.อ.ประยุทธ์จะต้องเดินไปในทางของท่านในทางการเมือง ส่วนกองทัพบกต้องกลับมาพัฒนากองทัพ มาเป็นทหารอาชีพ ตอนนี้กองทัพบกเปลี่ยนไปมาก มีความสง่างาม ซึ่งในหลวงเป็นต้นแบบของระเบียบวินัย ลักษณะทหารที่ดี

พล.อ.อภิรัชต์กล่าวว่า วันนี้ขอพูดแล้วจะไม่พูดอีกจนกว่าหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก อยากให้ทุกคน นิสิตนักศึกษาเข้าใจกองทัพเสียใหม่ ยอมรับว่าเรามีช่องว่างทางการสื่อสาร เพราะสื่อสารคนละภาษากับที่หลายคนอยากจะฟัง กองทัพบกพยายามสื่อสาร แต่ต้องเข้าใจว่ากองทัพเป็นหน่วยงานของรัฐบาล ไม่ได้ทำงานการเมือง ช่วงนี้มีการบิดเบือนข้อมูลเรื่องการเมือง กองทัพยอมรับว่ามีจุดอ่อนการใช้โซเชียลมีเดีย ในขณะที่สื่อบางชนิดบางแบบเข้าถึงจิตใจคนอีกยุคหนึ่งในการรับรู้ อยากให้รับทราบข้อมูลยาวๆที่ตนพูด ไม่ใช่ตัดทอนสั้นๆแค่เพียงวาทกรรม ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าสื่อโซเชียลมีเดียทรงอานุภาพกว่าอาวุธที่กองทัพมีอยู่

พล.อ.อภิรัชต์กล่าวว่า ขออย่าใช้วาทกรรมที่ถูกสร้างทั้งคำว่า “เผด็จการ” และ “ประชาธิปไตย” พร้อมย้อนถามเป็นคนไทยด้วยกันหรือไม่ ผุดวาทกรรมมาเพื่อแบ่งแยกประชาชนที่ใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างนั้นหรือ หรือต้องการให้เกิดสงครามกลางเมืองเหมือนที่เกิดขึ้นมาแล้ว วันนี้ยังมีขบวนการแบ่งฝ่าย ทำไมไม่เคารพกติกาแล้วไปสู้ในสภา ซึ่งเรื่องเหล่านี้ถูกชี้นำด้วยเกมการเมืองจากพวกนักการเมืองเดิมๆหรือซ้ายตกขอบ

“เราเป็นคนไทยด้วยกันหรือไม่ กรีดเลือดมาก็เป็นคนไทยทั้งนั้น และกองทัพบกก็ลูกหลานของพวกท่าน” พล.อ.อภิรัชต์ย้ำว่า ระบอบประชาธิปไตยในโลกนี้มีวัฒนธรรมของตัวเองแตกต่างกัน คสช. เป็นเผด็จการจริงหรือ ไม่อยากจะยกตัวอย่างประเทศอื่นที่เขาเผด็จการจริงๆ นี่คือวัฒนธรรมระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ ขอให้รักกัน นำความรู้ระบอบประชาธิปไตยของเขามาต้องดูด้วย ไม่ใช่พยายามเปลี่ยนแปลงระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่าเอาซ้ายจัดมาแล้วดัดจริต นี่คือแผ่นดินที่บรรพบุรุษเสียเลือดเนื้อ ขอฝากรักกันเถอะ หยุดวาทกรรมการเมือง ในเมื่อกรรมการตัดสินแล้วขอให้อยู่ในเกมใครเกมมัน เป็นไปตามครรลอง ล้างแค้นกันไปมาก็ไม่มีวันจบ

กองทัพริบรางวัล “ทักษิณ”

เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ผู้บัญชาการทหารอากาศ และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมกันแสดงจุดยืนของทหารและตำรวจในการปกป้องสถาบันหลักของชาติ

พล.อ.พรพิพัฒน์กล่าวว่า การรวมตัวในวันนี้ของผู้บัญชาการเหล่าทัพเพื่อชี้แจงกรณีคณะกรรมการมูลนิธิศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหารริบรางวัล “เกียรติยศจักรดาว” จากนายทักษิณ ชินวัตร ที่ได้รับเมื่อปี 2534 ในฐานะ “ศิษย์เก่าดีเด่น” หลังงานแต่งงาน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และนายปิฎก สุขสวัสดิ์ ที่ฮ่องกง ซึ่งทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จร่วมงานด้วย โดย พล.อ.พรพิพัฒน์กล่าวว่า การริบรางวัลเพราะนายทักษิณ “จาบจ้วงไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง” ซึ่งมีข้อมูลเผยแพร่ในโลกโซเชียลหลายแห่ง

พล.อ.พรพิพัฒน์กล่าวว่า จุดยืนต่อบทบาทและหน้าที่ของทหารและตำรวจไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปคือ ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสร้างความอยู่ดีมีสุขของประชาชน ส่วนบทบาทความเป็น คสช. และแม่น้ำ 5 สาย จะมีโรดแม็พตามระยะเวลา การบริหารงานของรัฐบาลเป็นไปตามตัวบทกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ทหารและตำรวจเป็นกลไกทางราชการที่ต้องปฏิบัติงานตามคำสั่งของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดก็ตาม เพราะฉะนั้นไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะเป็นรัฐบาลก็ต้องปฏิบัติตามนโยบายและแนวทางที่รัฐบาลดำเนินการไว้

ส่วนกระแสข่าวการทุจริตหลังการเลือกตั้งนั้น พล.อ.พรพิพัฒน์กล่าวว่า ต้องให้เวลากับ กกต. ต้องเชื่อมั่นกลไกของรัฐ แม้อาจจะมีความเห็นว่าการทำงานของ กกต. ไม่เรียบร้อยในกระบวนการจัดการเลือกตั้ง แต่ต้องเชื่อใจว่า กกต. มีหลักในการปฏิบัติและพยายามทำให้ดีที่สุด เมื่อพบข้อบกพร่องก็ต้องแก้ไขและต้องใช้เวลาพอสมควร ต้องให้ความเป็นธรรม ต้องให้โอกาส กกต. มากกว่าจู่โจมด้วยคำพูดจนไม่สามารถตั้งตัวได้และทำลายความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ยังเรียกร้องนักการเมืองหยุดสร้าง “วาทกรรมสืบทอดอำนาจ”

ฮ่องกงเอฟเฟ็ค

การริบรางวัล “เกียรติยศจักรดาว” และพระราชโองการโปรดเกล้าฯเมื่อวันที่ 30 มีนาคม เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าฝ่ายหน้าและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลอื่นของอดีตนายกฯทักษิณ เนื่องจากถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุกและข้อหาฐานอื่นๆอีกหลายคดี

นายทักษิณให้สัมภาษณ์ “บีบีซีไทย” ที่ฮ่องกงว่า ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการเสนอชื่อทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯเป็นผู้สมัครในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรคไทยรักษาชาติ “ไม่เคยคิดดึงฟ้าต่ำ มีแต่ยกฟ้าสูง”

“ประยุทธ์-อภิรัชต์” ไร้วุฒิภาวะ

“จ่านิว” นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ และ “บอล” นายธนวัฒน์ วงศ์ไชย แนวร่วมประชาชนเพื่อการเลือกตั้งที่เป็นธรรม จัดกิจกรรมตั้งโต๊ะล่ารายชื่อถอดถอน กกต. ที่ลานโพธิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และได้อ่านแถลงการณ์กรณี พล.อ.ประยุทธ์ออกสารนายกรัฐมนตรีพาดพิงถึงการเคลื่อนไหวล่าชื่อถอดถอน กกต. ของคนรุ่นใหม่เป็นการทำลายสถาบันหลักของชาติว่า จงใจบิดเบือนเจตนารมณ์ของประชาชนเพื่อประโยชน์ต่อการสืบทอดอำนาจ และมุ่งสร้างความเกลียดชังในสังคมต่อผู้ที่เคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างสันติบนพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย จึงขอตั้งคำถามถึง พล.อ.ประยุทธ์ว่าสมควรหรือไม่ที่ดูถูกวุฒิภาวะประชาชน ใช้วาทกรรมที่มีเจตนายั่วยุให้สังคมแตกแยก สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรงต่อผู้ที่ออกมาใช้สิทธิและเสรีภาพอย่างสันติ

ถ้อยแถลงในสารนายกรัฐมนตรีอาจนำไปสู่การเดินซ้ำรอยประวัติศาสตร์ลักษณะขวาพิฆาตซ้ายจากผู้ที่อ้างตนเป็นผู้ปกป้องสถาบันหลักของชาติอย่างไร้สติ ฝ่ายผู้มีอำนาจต้องหยุดบิดเบือน ให้ร้าย และดูถูกวุฒิภาวะของประชาชน ประชาชนต้องการเห็นการเลือกตั้งที่เป็นธรรม ไม่ใช่ปิศาจของสังคม

ส่วนที่ พล.อ.อภิรัชต์พาดพิงเป็นซ้ายตกขอบจะทำลายสถาบันหลักของชาตินั้น นายสิรวิชญ์ยืนยันว่า ไม่มีและไม่เคยพูด พูดแต่การล่าชื่อถอดถอน กกต. และการสืบทอดอำนาจของ คสช. ไม่ทราบว่า พล.อ.อภิรัชต์ตอกย้ำเรื่องนี้เพื่ออะไร เพื่อผลประโยชน์ของตนเองใช่หรือไม่ ทั้งเรียกร้องให้ฝ่ายความมั่นคงทั้งตำรวจและทหารยุติการคุกคามนักศึกษาและประชาชน

มีแต่อนุรักษ์นิยมตกขอบ

รศ.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร นักวิชาการรัฐศาสตร์ มองท่าทีของ พล.อ.อภิรัชต์ต่อสถานการณ์การเมืองขณะนี้ว่า เกิดจากความไม่เข้าใจและไม่พร้อมจะยอมรับฟังเหตุผลรวมถึงคำวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมที่มีต่อผู้มีอำนาจ “เป็นคำพูดเชิงตำหนิผู้อื่น โดยคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายที่ทำดีที่สุดแล้ว”

รศ.อัษฎางค์กล่าวว่า สังคมทุกวันนี้อยู่ภายใต้ความเป็นเผด็จการ ไม่ใช่สภาวะปรกติของสังคมประชาธิปไตยที่เปิดโอกาสให้ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการกระทำหรือวิพากษ์วิจารณ์และพูดความจริงได้อย่างเต็มที่ พล.อ.อภิรัชต์ในฐานะ ผบ.ทบ. ควรมีแนวคิดที่จะรับฟังและยืนเคียงข้างประชาชน ต้องเปิดโอกาสให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมในการพัฒนา ฟังเหตุผลมากกว่าตัวบุคคล ยอมรับกติกาสังคมและเสียงข้างมาก หากยึดหลักการเหล่านี้ ไม่ใช่แสดงอำนาจ ทหารจะเป็นที่พึ่งพาของสังคม ไม่ใช่ถูกกล่าวขวัญในทางตรงกันข้าม

รศ.อัษฎางค์กล่าวถึง “ซ้ายตกขอบ” ว่า พล.อ.อภิรัชต์ไม่เข้าใจ เพราะมีแต่ขวาตกขอบ คอนเซอร์เวทีฟ สตรองคอนเซอร์เวทีฟ “อย่ามาแบ่งพวก เพราะจริงๆแล้วคณะผู้มีอำนาจนั่นแหละทำให้เกิดความขัดแย้ง ไม่ใช่คนอื่น ท่านต้องเรียกที่ปรึกษาทั้งหลายมาพูดคุยว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร ยอมรับความจริงและออกมาสนทนาพาทีกับนักวิชาการคนอื่นเขาบ้าง เปิดโอกาสให้คนอื่นได้ถามอย่างตรงไปตรงมา อย่าโมโห ท่านจะได้รับความจริง”

ประชาธิปไตยต้องยึดหลักการและวิธีปฏิบัติ เช่น ความเสมอภาค ความยุติธรรม สิทธิเสรีภาพ ไม่ใช่กล่าวอ้างประชาธิปไตยแบบไทยๆเพื่อกระทำการที่นอกเหนือจากหลักการ ยิ่งในยุคสมัยของคนรุ่นใหม่ที่มีการสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดเห็นกันได้อย่างรวดเร็ว หน้าที่ของกองทัพคือการรับฟังและชี้แจงแถลงไขอย่างมีเหตุมีผล

ใครมีสิทธิสร้างความจริง?

การออกมาแสดงจุดยืนของผู้นำรัฐบาลและผู้นำกองทัพ รวมถึงการตบเท้าของผู้บัญชาการเหล่าทัพเพื่อระบุว่าอดีตนายกฯทักษิณ “จาบจ้วงไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง” และยังปรามนักการเมืองเลิกใช้วาทกรรม “หยุดสืบทอดอำนาจ” นั้น  เออเฌนี เมรีโอ ภรรยาของนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่กำลังตกเป็นเป้าถูกโจมตีเรื่องสถาบัน ให้สัมภาษณ์ “สารคดี” ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้ว่า เป็นวิกฤตการเมืองที่ว่าใครมีสิทธิสร้างความจริง และความจริงที่ออกมาจะมีหน้าตาอย่างไร เราขาดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การอภิปราย การขาดเสรีภาพเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความจริงเกิดขึ้นไม่ได้ สิ่งที่ขัดแย้งกับความจริงของรัฐจะไม่มีสิทธิปรากฏขึ้นได้บนเวทีสาธารณะ แล้วประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีการอภิปรายอย่างเสรี เพราะสังคมประชาธิปไตยเป็นสังคมที่เน้นการอภิปรายเป็นหลัก

เมรีโอกล่าวถึง กกต. ว่า เมื่อประชาชนตั้งคำถามในการทำงาน แทนที่จะเปิดให้มีการอภิปรายถกเถียงชี้แจงกันด้วยเหตุผล กลับไปพูดถึงคนที่ต้องการตรวจสอบเพื่อความโปร่งใสเป็นธรรมว่าเป็นพวกที่สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายและกำลังเลยเถิดไปถึงการ “ล้มเจ้า” ถ้ายังไม่สู้กันด้วยข้อเท็จจริงและเหตุผลก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะจบที่ความรุนแรง

ยังไม่มีสูตรคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ

ปรากฏการณ์ถอดถอน กกต. และผลการเลือกตั้งที่ยังคลุมเครือ ทำให้เห็นปฏิกิริยาของกลุ่มต่างๆในสังคมไทยว่ามีจุดยืนทางการเมืองและประชาธิปไตยอย่างไร โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ 2 ขั้วการเมืองมีคะแนนเสียงที่คู่คี่กันอย่างมากในการจัดตั้งรัฐบาลและเสียงปริ่มน้ำด้วยกันทั้ง 2 ขั้ว การคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อจึงมีความสำคัญอย่างมาก รวมถึงการให้ใบเหลือง ใบแดง ใบส้ม และใบดำของ กกต.

ขณะที่ กกต. ก็ไม่สามารถชี้แจงคะแนนการเลือกตั้งที่งอกมากว่า 4 ล้านเสียงได้อย่างชัดเจน รวมถึงความชัดเจนในการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ โดย พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. เพิ่งยอมรับ (2 เมษายน) ว่ายังไม่มีสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ทั้งที่การเลือกตั้งผ่านมาแล้วถึง 2 สัปดาห์ แต่จะมีความชัดเจนภายในสัปดาห์นี้ โดย กกต. จะหารือกับกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อรวบรวมและศึกษารายละเอียดก่อนจะให้คำตอบกับสังคม การตีความต้องเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้เป็นการคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่นำมาเขียนเป็นกฎหมาย

พ.ต.อ.จรุงวิทย์ยืนยันว่า ไม่มีการตั้งธงการให้ใบแดงว่าจะให้กับผู้สมัคร ส.ส. พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งตามที่เป็นข่าว โดยคณะอนุกรรมการวินิจฉัยคำร้องและปัญหาหรือข้อโต้แย้งจะทำหน้าที่กลั่นกรองสำนวนก่อนมีความเห็นส่งให้ กกต. เพื่อพิจารณาว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ จะตัดสิทธิรับสมัครกับผู้สมัครรายใด จะให้ใบแดงหรือจะส่งศาลวินิจฉัย ต้องเป็นไปตามเนื้อหาและพยานหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในสำนวน และจะดำเนินการด้วยความรวดเร็ว ซึ่งขณะนี้มีเรื่องร้องเรียน 264 เรื่อง

ส่วนการล่ารายชื่อถอดถอน กกต. นั้น พ.ต.อ.จรุงวิทย์กล่าวว่า เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ ที่ผ่านมาได้ชี้แจงไปทุกอย่างที่สังคมสงสัยทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง แต่บางเรื่องก็ชี้แจงไม่ทันเพราะมีจำนวนมาก จึงใช้วิธีการออกเอกสารข่าวชี้แจงแทน

นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. กล่าวตอนหนึ่งในการประชุมชี้แจงขั้นตอนการดำเนินการของคณะอนุกรรมการวินิจฉัยคำร้องและปัญหาหรือข้อโต้แย้งว่า เป็นบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิด้านนิติศาสตร์ ด้านรัฐศาสตร์ ด้านการสืบสวนไต่สวน ด้านบัญชี ด้านการตรวจสอบภายใน และด้านอื่นๆที่เหมาะสม ต้องมีความเป็นกลางทางการเมือง ซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งสังคมอยากรับทราบผลการเลือกตั้งโดยเร็ว ยอมรับว่าผลการเลือกตั้งอาจไม่รวดเร็วทันใจตามความคาดหวังของทุกฝ่าย แต่ กกต. ทุกคนยืนยันว่าทำหน้าที่ด้วยความรอบคอบ ถูกต้อง สุจริต เที่ยงธรรม และชอบด้วยกฎหมาย

จุดตาย กกต.?

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์และอดีต กกต. โพสต์เฟซบุ๊คเตือน กกต. ชุดปัจจุบันว่า ความวุ่นวายไม่เรียบร้อยในการจัดการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร นอกเขต การนับคะแนน การรายงานผล บัตรเขย่ง การให้ข้อมูลที่ไม่ชัดเจน เป็นข้อบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ โดยไม่อาจเป็นสาเหตุเพียงพอหรือมีนัยสำคัญนำไปสู่การถอดถอนหรือลงโทษใดๆต่อ กกต. ได้ชัดเจนนัก

แต่จุดตายที่อาจนำไปสู่การถอดถอนอย่างมีเหตุผลและอาจนำไปสู่ความผิดทางอาญาได้โดยง่ายหากยังไม่ใส่ใจ โดยยังให้สำนักงานเป็นผู้กระทำโดยปราศจากการกำกับอย่างจริงจังคือ สูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่มีขั้นตอนการคำนวณเขียนไว้ในมาตรา 128 ของ พ.ร.ป.การเลือกตั้ง ส.ส. ที่อ่านแล้วไม่สามารถเข้าใจได้โดยง่าย และสามารถอ่านแปลความหมายนำไปสู่การคำนวณที่แตกต่างกัน และทำให้เกิดผลแตกต่างกันอย่างน้อย 2 แบบคือ

แบบแรกที่เผยแพร่ในสื่อทั่วไป ทำให้พรรคเล็กได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 ที่นั่ง เพิ่มขึ้นเป็น 11 พรรค โดยเป็นพรรคที่ได้คะแนนระหว่าง 33,728-69,417 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ ส.ส. 1 ที่นั่งที่คำนวณไว้ว่าเท่ากับ 71,065 คะแนน เป็นการขัดเหตุผลว่าคะแนนแค่ 30,000 เศษทำไมถึงได้ ส.ส. ขณะที่พรรคใหญ่และพรรคกลางต้องใช้คะแนนถึง 70,000 เศษถึงจะได้ ส.ส. 1 คน

แบบสอง การคำนวณโดยนักวิชาการ นำแต่ละบรรทัดของกฎหมายมาแปลความและทดลองคำนวณ ซึ่งมีผลทำให้ 11 พรรคเล็กที่มีคะแนน ส.ส.เขตต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 71,065 คน ไม่ได้รับการจัดสรร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และทำให้พรรคกลางและพรรคใหญ่มีจำนวน ส.ส. เพิ่มขึ้น

การตัดสินใจแบบใดแบบหนึ่ง หากมีการพิสูจน์ว่าเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่ของ กกต. เพื่อไปสนับสนุนให้พรรคการเมืองใดชนะการเลือกตั้งและสามารถตั้งรัฐบาลได้ จะตรงกับข้อหาที่ กกต.ชุดที่สองเคยโดนมาก่อนคือ “กระทำการเพื่อให้เกิดความได้เปรียบของพรรคการเมืองหนึ่งทำให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้” ผลคือ กกต. ถูกตัดสินจำคุก ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ กกต. ทั้ง 7 คนต้องคิดและรับฟังจากทุกฝ่ายให้รอบคอบ เพราะแปลความผิดอักษรเดียว มีพรรคที่ได้ มีพรรคที่เสีย และเขาฟ้องแน่นอน

กรธ. วันนี้ไม่มีตัวตน

นายสมชัยยังระบุว่า กกต. อาจเริ่มไม่มีความมั่นใจในสิ่งที่กำลังทำอยู่ ก็คงต้องให้โอกาสเขาแล้วรอดูว่าจะตั้งหลักกันอย่างไร เพราะสิ่งที่ กกต. คิดและเชื่ออาจจะเป็นปัญหาในเชิงการตีความกฎหมายจริงๆ กกต. อาจจะมองหาหลังพิง ก็เลยต้องถามไปยัง สนช. และ กรธ.

“กรธ. วันนี้คือใคร อยู่ที่ไหน เพราะเขายุบไปแล้ว คุณจะส่งจดหมายไปที่ใคร เรื่องนี้ในทางธุรการไม่สามารถทำได้ และการที่ กรธ. ออกมาตอบ ถ้าตอบปากเปล่าก็ไม่ได้เป็นหลักอิงที่เพียงพอ มันต้องตอบเป็นจดหมายจึงจะเป็นหลักอิงที่เพียงพอ แต่จะตอบได้อย่างไรในเมื่อองค์กรมันไม่มีอยู่แล้ว”

ดังนั้น สิ่งที่ กกต. ต้องทำคือการตีความกฎหมายอย่างเคร่งครัดและตรงไปตรงมา อ่านเจตนาของการร่างกฎหมายให้ถูกต้องและดำเนินการด้วยความเป็นกลาง โดยไม่คิดว่าจะนำไปสู่การเพิ่มหรือลดจำนวน ส.ส. ให้กับพรรคใดพรรคหนึ่ง หรือนำไปสู่การส่งเสริมให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตั้งรัฐบาลได้

นายสมชัยกล่าวว่า ในสถานการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับ กกต. จะลงมติว่าจะใช้สูตรใดต้องรับผิดชอบต่อผลที่จะเกิดขึ้นตามมา ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ อนุกรรมการจะเสนอมาอย่างไรก็แล้วแต่ ความรับผิดทั้งหมดจะอยู่ที่ กกต. ทั้ง 7 คนที่มีหน้าที่ตัดสินใจ

การเมืองโป๊ะแตก

การรณรงค์ถอดถอน กกต. ผ่านเว็บไซต์ change.org ที่ถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์แล้ว เครือข่ายภาคประชาชนและ 26 เครือข่ายในมหาวิทยาลัยต่างๆทั่วประเทศได้แสดงจุดยืนให้ถอดถอน กกต. เพื่อให้ กกต. ทำทุกอย่างให้โปร่งใสที่สุด โดยเฉพาะสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกนอกจากต้องเป็นที่ยอมรับของทุกพรรคการเมืองแล้ว ต้องไม่ฝืนความรู้สึกของประชาชนด้วย นอกจากนี้ยังมีใบเหลือง ใบแดง ใบส้ม ที่มีผลอย่างมากในการเลือกตั้งครั้งนี้

ขณะที่การแย่งชิงการจัดตั้งรัฐบาลและเลือกนายกรัฐมนตรีเต็มไปด้วยข่าวฉาวมากมาย “ทั่นผู้นำ” และผู้นำเหล่าทัพกลับออกมาเรียงหน้ากระดานปกป้อง กกต. และยังอ้างว่ามี “กลุ่มคนไม่หวังดี” หวังทำให้บ้านเมืองไม่สงบและบ่อนทำลายสถาบัน ยิ่งทำให้ภาพความขัดแย้งที่นำมาซึ่งวิกฤตการเมืองและวิกฤตประเทศถูกนำมาพูดมากขึ้น รวมถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งลุกลามรุนแรง เพราะการดึง “สถาบันเบื้องสูง” มาใช้โจมตีและล้มล้างฝ่ายตรงข้าม

แม้สารของ “ทั่นผู้นำ” จะไม่มีผังอะไรโผล่มาเหมือนครั้งเหตุการณ์เมษา-พฤษภาที่ “ไก่อู” อุปโลกน์ “ผังล้มเจ้า” โยงถึงนักการเมืองและนักวิชาการหลายคน แต่สุดท้ายก็ยอมรับว่าเป็น “ผังกำมะลอ” ไม่ได้แตกต่างจากสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ ซึ่งเห็นชัดเจนว่าใครและกลุ่มใดที่กำลัง “ดึงฟ้าต่ำ”

การพยายามกล่าวหาใส่ร้าย 2 แกนนำพรรคอนาคตใหม่คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล ว่าเป็น “กลุ่มล้มเจ้า” โดยนำคลิปและข้อเขียนต่างๆเกี่ยวกับ “สถาบันเบื้องสูง” มาตัดต่อเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ก็เป็น “กลุ่มคนหน้าเดิมๆ”

นายปิยบุตรได้ชี้แจงถึงคลิปและภาพที่นำไปบิดเบือน โดยคัดบางประโยคมาประกอบเพื่อทำให้ประชาชนเข้าใจผิดและเกลียดชัง ซึ่ง 14 ปีที่ผ่านมามีขบวนการใส่ร้ายป้ายสีกล่าวหาโจมตีโดยใช้ข้อหา “ไม่จงรักภักดี” หรือ “ล้มเจ้า” ทำให้สังคมไทยถูกแบ่งขั้วอย่างร้าวลึก ประชาชนเกิดความเกลียดชังกันเอง และเผด็จการทหารฉวยโอกาสเข้ายึดอำนาจยาวนาน

ยังไม่เจอสูตรที่ใช่?

สถานการณ์ทางการเมืองที่วันนี้ผู้นำกองทัพออกมาแสดงจุดยืนประกาศว่าเป็นทหารอาชีพ ยืนยันจะทำหน้าที่เป็นเสาหลักเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถูกตั้งคำถามว่าเหมาะสมหรือไม่ในสถานการณ์ที่การเลือกตั้งมีปัญหาและข้อกังขาเรื่องความบริสุทธิ์ยุติธรรม

ผลการเลือกตั้งที่มีปัญหา กกต. ไม่รู้แม้แต่สูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการเลือกตั้ง ทั้งที่ต้องเตรียมการก่อนที่จะมีการเลือกตั้งแล้ว ไม่ใช่ยังมั่วเป็น “ลิงแก้แห” จึงไม่แปลกที่ภาคประชาชนและเครือข่ายนักศึกษาจะออกมารณรงค์ให้ถอดถอน กกต. ซึ่งเป็นไปตามสิทธิเสรีภาพและการแสดงออกอย่างสันติตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่สร้างความวุ่นวาย ไม่ได้เป็นซ้ายตกขอบ ซ้ายดัดจริต ไม่ได้มีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองใดๆ

การออกสารของ “ทั่นผู้นำ” และการออกมาแสดงจุดยืนของกองทัพ อ้าง “กลุ่มผู้ไม่หวังดี” และ “ไม่จงรักภักดี” ต้องการทำให้บ้านเมืองไม่สงบและบ่อนทำลายสถาบัน จึงถูกตั้งคำถามว่าเป็นการแทรกแซงการเลือกตั้ง แทรกแซงการเมืองหรือไม่ โดยเฉพาะ “ทั่นผู้นำ” ที่มีส่วนได้เสียกับการเลือกตั้ง

ปรากฏการณ์ “กกต. โป๊ะแตก” เพราะการทำงานของ กกต. ที่คนนับล้านไม่เชื่อถือ แม้แต่สูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ต้องระบุชัดเจนก่อนการเลือกตั้งเหมือนระบบจัดสรรปันส่วน…ไม่ใช่เลือกตั้งผ่านมาแล้วกว่า 2 สัปดาห์ แต่ กกต. ยังไม่เจอสูตรที่ใช่!!??

 


You must be logged in to post a comment Login