วันพฤหัสที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567

ปรบมือกันหน่อยครับ!!

On December 20, 2018

คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 21-28 ธันวาคม 2561)

 “ผมเป็นคนเขียนในรัฐธรรมนูญ ปรกติ ส.ว. จะไม่มีน้ำหนักเท่าไร ไม่มีสิทธิ์ไปโหวตนายกรัฐมนตรี โดยผมเป็นคนเสนอให้ ส.ว. 250 คน มีสิทธิ์โหวตนายกรัฐมนตรี.. ผมเป็นคนเริ่มต้นคำถามพ่วงให้ ส.ว. สามารถโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้.. ปรบมือกันหน่อยครับ”

โลกออนไลน์เผยแพร่คลิป (18 ธันวาคม) นายวันชัน สอนศิริ ทนายความชื่อดังและอดีตกลุ่ม 40 ส.ว. สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองในรัฐบาลทหาร ที่กล่าวกับเพื่อนว่าเป็นคนที่ทำให้ ส.ว. มีสิทธิ์โหวตนายกรัฐมนตรี และยังเป็นคนเขียนคำถามพ่วงในร่างรัฐธรรมนูญที่ได้คะแนนถึง 15 ล้านเสียง

ในคลิปนายวันชัยได้อธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับวิธีการเลือก ส.ว. ว่ามีวิธีการสรรหาอย่างไร เช่น ขณะนี้มีผู้สมัคร ส.ว. กว่า 7,000 คน และให้เลือกกันเองจนเหลือ 200 คน ส่วนจะเลือกกันแบบไหนนั้นอย่าไปรู้ จาก 200 คน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หยิบมาเหลือ 50 คน ซึ่งเรียกว่า ส.ว. มาโดยกลุ่มสาขาอาชีพ กับอีกประเภทคือมาโดยตำแหน่งจำนวน 6 คนคือ ผบ.เหล่าทัพ ปลัดกระทรวงกลาโหม ฯลฯ หลังจากนั้นมีการตั้งคณะกรรมการสรรหาที่ คสช. เป็นคนตั้งไม่เกิน 12 คน เลือกคนมา 400 คน แล้ว คสช. หยิบมา 194 คน รวมกับตำแหน่งเป็น 200 คน บวกอีก 50 คน ส.ว. ก็จะมี 250 คน เพราะฉะนั้นหาอีก 176 เสียงก็เป็นนายกฯได้ แต่บริหารไม่ได้ ต้องมีเสียงในสภาล่าง (ส.ส.) เกินกว่า 250 เสียง แต่ก็เชื่อว่าจะได้จากพรรคต่างๆเกินกว่า 250 เสียง

การเมืองรวมศูนย์ที่ “ลุงฉุน”

คำพูดของนายวันชัยสะท้อนชัดเจนอย่างที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน หนึ่งในแกนนำพรรคพลังประชารัฐบอกว่า “รัฐธรรมนูญฉบับนี้เขาดีไซน์มาเพื่อพวกเรา” และเพื่อการสืบทอดอำนาจของ “ลุงฉุน” ภาพรวมการเมืองจึงรวมศูนย์อยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งล่าสุด (18 ธันวาคม) ให้สัมภาษณ์หลังประชุม คสช. ชัดเจนว่า “ไม่ลงเลือกตั้ง” แต่ไม่พูดถึงเทียบเชิญเป็นนายกรัฐมนตรี และยังออกตัวว่าตอนนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองใดๆทั้งสิ้น ไม่อยากให้มีผลในเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐบาลจำเป็นต้องรักษากฎระเบียบเหล่านี้อยู่ ต้องเตือนตัวเอง เพราะหลายคนบอกว่าตนขี้หงุดหงิด ขี้โมโห ก็ต้องปรับปรุงตัวเอง และทุกคนก็ต้องเตือนตัวเองในการออกสื่อ หรือการให้สัมภาษณ์หรืออะไรอยู่ นักการเมืองทุกคนต้องช่วยกันด้วย

“อย่าให้เกิดความขัดแย้งบรรยากาศเดิมๆขึ้นมาอีก บ้านเมืองก็ไม่สงบ วุ่นวายต่อไปเรื่อยๆ ถ้าทุกคนทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์มันก็เป็นสิ่งดีกับประเทศชาติ ผมไม่ต้องการให้นำคำพูดไปบิดเบือน พูดอะไรก็เป็นประเด็นไปหมด อาจทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลและต่อนายกฯ ประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกันเสมอไป”

ยุทธศาสตร์ชาติคือไฮเวย์ ไม่ใช่การสืบทอดอำนาจ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในงานนิทรรศการและประชุมเสวนาในโอกาสครบรอบ 10 ปี โครงการทุนการศึกษาพระราชทาน มูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.) ว่า กำลังแก้ปัญหาเก่า เดินหน้าสู่เรื่องใหม่ๆที่เรียกว่าการปฏิรูปประเทศ มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีเป็นไฮเวย์ที่ไม่ใช่การสืบทอดอำนาจ ไม่อาจจะพูดอะไรได้มากในช่วงนี้ เพราะเป็นช่วงความเคลื่อนไหวทางการเมือง วันนี้ประชาธิปไตยเดินหน้า ไม่อาจชี้นำเรื่องเหล่านี้ได้ เรากำลังเปลี่ยนผ่าน ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และคนที่จะมาเป็นนายกฯวันข้างหน้าต้องปรับตัว รัฐธรรมนูญมีอยู่แล้ว กฎหมายมีทุกตัว การกระจายอำนาจ เลือกตั้งท้องถิ่นมีอยู่

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่เห็นด้วยที่องค์กรต่างประเทศจะเข้ามาสังเกตการณ์การเลือกตั้ง เป็นเรื่องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พูดไปแล้วว่าประเทศไทยเราต้องแก้ปัญหาของเราเองให้ได้ ต้องให้โปร่งใส แสดงความเชื่อมั่นให้เขาดู ไม่ใช่จะมีวิธีแก้ปัญหาอย่างหนึ่งหรืออย่างเดียว เราต้องแสดงความร่วมมือให้เขาเชื่อมั่นให้ได้ อยู่ที่พวกเราทุกคน

ห่วงศักดิ์ศรีประเทศ ในฐานะประธานอาเซียน

นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า ไม่จำเป็นต้องเชิญองค์กรต่างประเทศเข้ามาสังเกตการณ์การเลือกตั้งในประเทศไทยที่จะมีในช่วงต้นปีหน้า เพราะถือเป็นศักดิ์ศรีของประเทศ ในฐานะที่ประเทศไทยจะเป็นประธานอาเซียนในปี 2562 ต้องแสดงความเป็นผู้นำ ทั้งนี้ หากจะมีการเชิญก็เป็นเรื่องของ กกต. ไม่ใช่เรื่องของกระทรวงการต่างประเทศ

โดยส่วนตัวได้ให้ความเห็นในฐานะที่มีประสบการณ์ด้านการต่างประเทศ ซึ่งประเทศที่ให้ต่างประเทศเข้ามาร่วมสังเกตการณ์มีปัจจัยที่แตกต่างกัน โดยบางประเทศก็มีปัญหา และบางประเทศก็ไม่เคยมีประสบการณ์การเลือกตั้ง แต่ประเทศไทยนั้นถือว่าเป็นประเทศที่มีประสบการณ์เลือกตั้งมาพอสมควร เช่น การทำประชามติ พร้อมย้ำว่าปี 2562 ถือเป็นยุคใหม่ และเป็นปีมงคลฤกษ์ที่จะมีอะไรใหม่ๆเกิดขึ้น

ส่วนที่หลายพรรคการเมืองระบุว่าหากรัฐบาลบริสุทธิ์ใจและเชื่อมั่นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะบริสุทธิ์ ยุติธรรม และโปร่งใส ก็ไม่จำเป็นต้องปิดกั้นองค์กรต่างชาติเข้ามาสังเกตการณ์การเลือกตั้ง นายดอนกล่าวว่า ไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้กำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งทั้งก่อนและหลัง จึงขอให้ใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ แต่หากยังไม่พอใจก็แนะนำให้ กกต. ใช้กลไกของสถานทูต โดยให้นักการทูตเฝ้าสังเกตการณ์ และย้ำว่าอาจใช้คนต่างชาติที่อยู่ในไทยและคนไทยด้วยกันดูแลกันดีกว่า

นายดอนยังยืนยันว่า ไม่เคยห้ามต่างชาติเข้ามาสังเกตการณ์ เกรงว่าข่าวที่ออกมาจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด อีกทั้งได้เคยพูดเรื่องนี้มา 5 ครั้งแล้ว โดยระบุว่าการเอาคนข้างนอกเข้ามาแสดงว่าประเทศไทยยังมีปัญหาและไม่เป็นมงคล

ปชป. ชี้หวังพึ่ง กกต. คงยาก

หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์และนายดอนไม่เห็นด้วย ทำให้ท่าทีของ กกต. ได้เปลี่ยนไป ทั้งที่ก่อนหน้านี้ กกต. บอกว่ายินดีที่จะให้มีผู้สังเกตการณ์ได้ เพียงขอให้แสดงความจำนงและปฏิบัติตามกฎที่ กกต. กำหนดไว้ แต่ล่าสุด พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. บอกว่า ถ้าองค์กรระหว่างประเทศจะมาสังเกตการณ์การเลือกตั้ง กกต. ต้องดูแนวนโยบายอีกครั้ง หากร้องขอมา กกต. คงต้องพิจารณา ที่ผ่านมา กกต. มีเครือข่ายในแต่ละประเทศ มีการประสานงานกันอยู่แล้ว เช่น กกต.มาเลเซีย เกาหลีใต้ เมื่อประเทศเหล่านี้มีการเลือกตั้งก็จะเชิญ กกต.ไทยไปร่วมสังเกตการณ์

อาการแบ่งรับแบ่งสู้ต่างชาติเข้ามาสังเกตการณ์ของ กกต. ยิ่งทำให้ถูกมองว่าเป็นเหมือนกลไกหนึ่งของ คสช. ไม่ใช่องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และยิ่งทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ถูกจับตามองว่าจะมีความบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือไม่ โดยนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า เขต 2 พัทลุง บางพรรคเก็บบัตรประชาชนโดยจ่ายหัวละ 500 บาท ตั้งเป้า 40,000 ใบ จึงจะร่วมกับพรรคอื่นเพื่อให้รางวัลผู้แจ้งเบาะแส เพราะหวังพึ่ง กกต. คงยาก

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การร่วมสังเกตการณ์การเลือกตั้งขององค์กรระหว่างประเทศ หากรัฐบาลอำนวยความสะดวกให้จะทำให้เกิดความมั่นใจว่าการเลือกตั้งมีความสุจริตและเที่ยงธรรม เป็นผลดีต่อประเทศ รัฐบาลไม่น่ากังวลถ้าคิดว่าการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นเป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม องค์กรระหว่างประเทศไม่สามารถแทรกแซงอะไรได้ เขาแค่มาสังเกตการณ์ว่าการเลือกตั้งเป็นไปตามมาตรฐานประชาธิปไตยหรือไม่

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การจะห้ามต่างชาติเข้าร่วมสังเกตการณ์การเลือกตั้ง ถ้าไม่มีอะไรที่จะไม่สุจริตไม่เห็นต้องกลัวอะไร ควรสนับสนุนด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่ต่างประเทศ ควรเชิญนักศึกษาที่ใช้สิทธิ์เป็นครั้งแรกร่วมสังเกตการณ์ด้วย ทุกคนเชื่อใน กกต. ที่เป็นองค์กรอิสระ แต่การถูกตั้งข้อสังเกตมาจากพฤติกรรมบางอย่าง อาทิ การแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ กกต. ทั้ง 7 คนต้องสร้างมาตรฐานความสุจริต แต่ยังไม่เห็น กกต. ขยับออกไปแจ้งวิธีการหรือติดอาวุธทางปัญญาให้ชาวบ้านรู้วิธีการจัดสนามเลือกตั้งให้เที่ยงธรรมเลย

น.ส.ศิริภา อินทวิเชียร รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายต่างประเทศ กล่าวว่า รัฐบาลควรเปิดให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาสังเกตการณ์การเลือกตั้ง ขนาดกัมพูชายังเปิดโอกาสให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาสังเกตการณ์ ไม่มีประเทศประชาธิปไตยที่ไหนในโลกสกัดกั้นไม่ให้มีการสังเกตการณ์ขององค์กรต่างชาติ เว้นเสียแต่ประเทศซีเรียและลิเบียที่มีสถานการณ์เฉพาะกาลที่รัฐบาลไม่ต้องการให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาสังเกตการณ์การเลือกตั้ง ต้องถามว่ามีอะไรซ่อนไว้ใต้พรมหรือไม่ถึงไม่อยากให้ต่างชาติเข้ามา ถ้ารัฐบาล คสช. บริสุทธิ์ใจควรเปิดกว้างให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาสังเกตการณ์การเลือกตั้ง เพื่อจะทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้บริสุทธิ์ยุติธรรมและเป็นการยอมรับในเวทีโลก

รัฐบาลผีกลัวแสง

นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายดอนไม่เห็นด้วยที่ต่างชาติและองค์กรระหว่างประเทศจะเข้าสังเกตการณ์การเลือกตั้งว่า วันนี้การแสดงออกของรัฐบาลโดยเฉพาะนายดอนทำให้ประชาชนทราบว่าสังคมโลกจับตาการเลือกตั้งในไทย ครั้งนี้จะเป็นการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ที่จะเปลี่ยนผ่านรัฐบาลเผด็จการที่อยู่ในอำนาจมากว่า 4 ปี ให้เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยจากการเลือกตั้ง

หากรัฐบาลจริงใจและโปร่งใสในการจัดการเลือกตั้งที่สุจริตเที่ยงธรรมตามที่อ้าง จะเข้ามาปฏิรูปการเมืองจริง เหตุใดจึงไม่เชิญชวนให้ต่างชาติมาดูการเลือกตั้งว่าบริสุทธิ์ยุติธรรมจริงหรือไม่ เพื่อนำไปสู่ความเชื่อมั่นของประเทศ หรือเป็นผีที่กลัวแสงสว่าง กลัวจะถูกตรวจสอบ เพราะตั้งใจจะทำอะไรอยู่หรือไม่ ถ้าการเลือกตั้งไม่ได้รับการยอมรับจากคนไทยและต่างชาติปัญหาที่มีอยู่จะไม่มีวันหายไป รัฐบาลจึงต้องจัดการเลือกตั้งที่สุจริต เป็นธรรม และเปิดเผยต่อต่างชาติ การเปิดเผยการเลือกตั้งไม่ใช่การให้ต่างชาติมาแทรกแซงเรื่องภายในเหมือนที่กล่าวอ้างกัน

รัฐบาลทหารมีแค่ 2 ประเทศในโลก

นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานกรรมการยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ว่า “ขอยืมคำพูด พล.อ.ประยุทธ์มาใช้หน่อยเถอะครับ ถ้าไม่คิดจะโกงการเลือกตั้งจะกลัวต่างชาติมาสังเกตการณ์การเลือกตั้งไปทำไมครับ เปิดเต็มที่ไปเลย”

นอกจากนี้ยังถามว่า “ทำไมหลายๆประเทศเขาเลือกตั้งกันไปโดยไม่มีใครเข้าไปสังเกตการณ์ ก็เพราะการเลือกตั้งของเขาโปร่งใส สุจริต ไม่มีข้อสงสัย ประเทศเหล่านั้นเขาเป็นประชาธิปไตยเต็มขั้น แต่ของเราเป็นประเทศที่ปกครองโดยรัฐบาลทหารที่ขณะนี้มีเพียง 2 ประเทศในโลก การเลือกตั้งก็ส่อเค้าว่าจะไม่เสรีเป็นธรรม จึงต่างกันมาก”

โกงเลือกตั้งครั้งนี้จะเนียนมากๆ

เครือข่ายสังเกตการณ์เลือกตั้ง “#wewatch” ของกลุ่มนักศึกษาและเยาวชนทั่วประเทศ เปิดตัวเรียกร้อง กกต. แสดงความกล้าหาญ รักษาความเป็นอิสระขององค์กร และให้รัฐบาลและ คสช. หยุดการแทรกแซงการเลือกตั้ง เพื่อทำให้การเลือกตั้งปราศจากข้อครหาความไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม รวมทั้งมีอภิปรายวิธีการโกงการเลือกตั้งที่เห็นเค้าความอึมครึม โดยนายประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า การจะโกงเลือกตั้งครั้งนี้จะมาแบบเนียนมากๆ เช่น การแบ่งเขตอย่างพิสดาร และ คสช. ที่ยังกุมกฎหมายวิเศษ มาตรา 44 จนกว่าจะมี ครม.ชุดใหม่ แค่นี้ก็ทำให้นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามเสียวสันหลังกันแล้ว

รศ.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่า คสช. ขุดหลุมพรางไว้เยอะแยะ เช่น ล็อกตัวนักการเมืองด้วยการส่งทหารไปหาถึงที่บ้าน แขวนนักการเมืองบางท้องที่จนต้องย้ายเข้าพรรคพลังประชารัฐที่มี 4 รัฐมนตรีในรัฐบาลเป็นแกนนำ โดยเฉพาะการนับคะแนนอย่างเป็นทางการที่ใช้เวลากว่า 1 สัปดาห์ ให้จับตาการสอยที่มีใบแดง ใบเหลือง ใบส้ม และใบดำ ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์สูง

สมการตั้งรัฐบาลก่อวิกฤต

รศ.สิริพรรณกล่าวในการเสวนา “การเลือกตั้งคุณภาพกับอนาคตประเทศไทยภายหลังการเลือกตั้ง” ที่จัดโดย กกต. ว่า การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือที่ออกไปในทาง 3 แพร่ง แพร่งแรกเป็นการเลือกตั้งที่มีคุณภาพเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย แพร่งที่ 2 การเลือกตั้งที่นำไปสู่เขาวงกต เป็นหน้ากากประชาธิปไตยของผู้นำอำนาจนิยม แพร่งที่ 3 การเลือกตั้งจะเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตการเมืองรอบใหม่ จะออกมาในรูปแบบใดขึ้นอยู่กับประชาชนและ กกต. ข้อกังวลคือ หากประชาชนเลือกไปแล้วหวังให้พรรคที่มีเสียงข้างมากเป็นรัฐบาล แต่ชนชั้นนำทางการเมืองต่อรองให้ผลการจัดตั้งรัฐบาลออกมาเป็นอีกอย่าง อาจนำไปสู่วิกฤตการเมืองรอบใหม่

การเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น เมื่อมองไปที่ตัวผู้เล่นจะเห็นผู้แสดงกลุ่มหนึ่งอยู่นอกกติกา คสช. เป็นผู้ออกแบบกติกา เลือกผู้ร่างกติกา และเป็นผู้เล่นที่สามารถเปลี่ยนกติกาได้ระหว่างเกม หาก พล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกฯคนต่อไปควรเลิกรายการนายกฯพบประชาชน เพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเกินไป และไม่ควรให้การเลือกตั้งอยู่ในบริบททางการเมืองที่อยู่ภายใต้มาตรา 44

อำนาจอำมาตยาธิปไตย

นายสุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า เราผ่านการเลือกตั้งมาแล้วหลายครั้ง การเลือกตั้งปี 2500 ไม่มีคุณภาพและไม่มีอนาคตที่สุด มีทั้งไพ่ไฟ พลร่ม รู้ล่วงหน้าว่าจอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเป็นนายกฯแน่ๆ ดังนั้น การเลือกตั้งที่มีอนาคตคือการเลือกตั้งที่เรามีสิทธิ์ลุ้น การเลือกตั้งครั้งนี้เรารู้แล้วว่าใครเป็นนายกฯ และยังมียุทธศาสตร์ 20 ปีค้ำอยู่อีกชั้นหนึ่ง

คำว่าการเลือกตั้งของบ้านเราไม่เหมือนที่อื่น ของเราเลือกแค่ผู้แทนฯ เราจึงต้องการให้ กกต. เป็นอิสระ ถ้า กกต. ยอมให้คนอื่นเข้ามายุ่ง ใบประกันคุณภาพก็ไม่มีเหลือ การเลือกตั้งครั้งนี้ให้เลือกผู้แทนฯ ส่วนนายกฯไม่ต้องห่วง จัดไว้ให้แล้ว ถ้าพรรคพลังประชารัฐไม่ชนะ ไม่ได้มาเป็นที่ 1 นายกฯก็ยังต้องพึ่งพิงอำนาจอำมาตยาธิปไตย อย่าลืมพรรคที่มีอยู่แล้ว 250 เสียง เขาต้องการอีกแค่ 176 เสียง ซึ่งได้แน่

นายสุขุมกล่าวว่า ไม่คิดว่าพรรคพลังประชารัฐจะชนะ แต่ได้เกิน 176 เสียงแน่นอน นายกฯจึงยังปลอดภัยในแง่บริหารโดยไม่ต้องพึ่งพิงนักการเมือง และทันทีที่รวมพรรค รวมคะแนนได้เป็นนายกฯ ก็จะมีคนยกป้ายให้เพิ่มอีกจากพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา เป็นพรรคทางหนีไฟ เพราะเป็นพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์เพื่อเป็นฝ่ายรัฐบาล จะได้ทำประโยชน์ให้ประชาชน ไม่ได้มองว่าอดอยากปากแห้ง มองว่านายกฯยังมีโอกาสร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์ การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นแค่น้ำครึ่งแก้วก็ยังดีกว่าไม่มีเลย ถ้าตัดสินใจแบบอยู่กับปัจจุบันก็เลือกผู้แทนฯ แต่ถ้าคิดว่าการเลือกตั้งชี้อนาคตก็เลือกระหว่างจะให้สืบทอดอำนาจหรือไม่ให้สืบทอดอำนาจ

“สดศรี” เตือน กกต. ระวังติดคุก

ขณะที่นางสดศรี สัตยธรรม อดีต กกต. กล่าวว่า การเลือกตั้ง กกต. ต้องเป็นที่พึ่งของประชาชน ต้องชี้ขาดว่าอะไรทำได้ ทำไม่ได้ กกต. กลายเป็นตำบลกระสุนตก บางครั้งอาจได้รับคำสั่งอะไรมา ต้องใช้ดุลยพินิจว่าคำสั่งใดจะทำให้ติดคุกหรือไม่ ถ้าติดคุกก็อย่าทำ ความกล้าเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อไม่กล้าความเสื่อมจะตามมา ต้องแสดงฝีมือจัดการเลือกตั้งให้สุจริต เที่ยงธรรม เพื่อชี้ชะตาบ้านเมือง ประชาธิปไตยจะเดินไปด้วยดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับ กกต. อยากฝากถึงนายกฯว่าการใช้มาตรา 44 แม้จะใช้ด้วยความหวังดี แต่สิ่งที่ตอบแทนกลับมาอาจจะลบสิ่งดีๆที่ท่านสร้างไว้ 5 ปี หลังจากนี้ขอให้สงสาร กกต. ขอให้ กกต. พูดกับนายกฯตรงๆว่าขอบคุณที่ช่วยใช้มาตรา 44 แต่หลังจากนี้ กกต. เดินต่อเองได้ ไม่จำเป็นต้องใช้มาตรา 44 หรือเครื่องไม้เครื่องมืออื่นๆมาช่วยแล้ว

กกต. ยอมใส่ชื่อ-โลโก้พรรค

เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ที่ประชุม กกต. มีมติเอกฉันท์ให้บัตรเลือกตั้งที่เป็นรูปแบบสมบูรณ์คือ มีหมายเลขผู้สมัคร ชื่อและโลโก้ของพรรคการเมือง ซึ่งจะแยกเป็นเฉพาะของแต่ละเขตทั้ง 350 เขต โดยนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. กล่าวในงานเสวนาวิชาการ “การเลือกตั้งคุณภาพกับอนาคตประเทศไทยภายหลังการเลือกตั้ง” (18 ธันวาคม) ว่า ที่ประชุม กกต. มีมติให้จัดพิมพ์บัตรเลือกตั้งแบบแต่ละเขตไม่ซ้ำกัน โดยมีทั้งหมายเลข โลโก้พรรค และชื่อพรรค เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง แม้ขณะนี้ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่าการเลือกตั้งใช้บัตรใบเดียว แต่หลังปีใหม่จะไม่ได้ยินเสียงว่าประชาชนไม่เข้าใจอีก มิเช่นนั้นจะถือเป็นข้อผิดพลาดของ กกต.

นายอิทธิพรยังกล่าวว่า ประเทศไทยมีการปฏิวัติมาแล้ว 13 ครั้ง และทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งจะมีเสียงครหาว่ามีการซื้อเสียง ผู้แทนฯที่ได้มาไม่เป็นปากเสียงให้ประชาชนอย่างแท้จริง มีการถอนทุนคืนในรูปแบบต่างๆ จนเป็นที่มาของการยึดอำนาจล้มรัฐบาล ล้มรัฐธรรมนูญฉบับเดิม ภาพประวัติศาสตร์เหล่านั้นเป็นวังวนทางการเมืองไทย 86 ปี จนคนอื่นเรียกกันว่าเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ การยึดอำนาจของ คสช. ที่มีประเด็นความขัดแย้งเพิ่มเข้ามาจึงนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ทั้งในส่วนของพรรคการเมือง หน้าที่พลเมือง และบทบาทการจัดการเลือกตั้งของ กกต. ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ กกต. ตั้งเป้าให้มีผู้ออกมาใช้สิทธิลงคะแนน 80% และมีบัตรเสียไม่เกิน 2% โดยจะนำเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับหรือโดรนตรวจสอบการทุจริตการเลือกตั้งด้วย

พ.ต.อ.จรุงวิทย์กล่าวว่า การพิมพ์บัตรเลือกตั้งจะจำกัดจำนวนโรงพิมพ์เพื่อป้องกันเรื่องการปลอมแปลง โดยการจัดพิมพ์ต้องรอการปิดรับสมัครก่อนและดูว่าแต่ละเขตมีผู้สมัครกี่คน กี่พรรค ขนาดบัตรจะเท่ากันทุกเขตคือขนาด A4 และคาดว่าเขตที่จะมีผู้สมัครมากที่สุดน่าจะไม่เกิน 30 พรรคการเมือง หรือหากเกินขนาดของช่องและตัวอักษรก็อาจจะเล็กลง

ไฟเขียว ตปท. สังเกตการณ์เลือกตั้ง

นายอิทธิพรกล่าวว่า ส่วนการเสนอให้พรรคการเมืองใช้เบอร์เดียวกันทั่วประเทศไม่มีการเสนอในที่ประชุม การจะเสนอให้แก้ไขกฎหมายหรือใช้มาตรา 44 ในเรื่องดังกล่าว ม่ใช่หน้าที่ กกต. อะไรที่ไม่เกี่ยวข้อง กกต. จะไม่พิจารณา ส่วนกรณีผู้สังเกตการณ์เลือกตั้งจากต่างประเทศนั้นเป็นประเด็นที่ กกต.ชุดก่อนดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2546 เท่าที่หารือกับ กกต. ทั้ง 7 คน ทุกคนเห็นด้วยในหลักการให้เข้ามาสังเกตการณ์ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์เงื่อนไขของเรา ไม่มีเหตุผลที่จะไปยุติ อะไรที่เคยทำก็ทำต่อไป อย่างกรณีของสหภาพยุโรป (อียู) เป็นเพียงการแสดงความสนใจ แต่ยังไม่ได้ขอเข้ามาอย่างเป็นทางการ เพราะยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง หรือประเทศที่เคยเชิญ กกต. ไป ตามหลัก กกต. ก็จะเชิญให้เข้ามา เช่น อันเฟรลเป็นขาประจำที่เข้ามาดูอยู่แล้ว กกต. ให้ทุกครั้ง เขารู้ว่าต้องปฏิบัติอย่างไร ทั้งนี้ จะประชุมเพื่อกำหนดท่าทีที่ชัดเจนเร็วๆนี้ ส่วนกรณีนายดอนไม่อยากให้ต่างชาติมาสังเกตการณ์เลือกตั้งประเทศไทยนั้น ไม่มีผลต่อการตัดสินใจของ กกต. ถ้าอ่านคำให้สัมภาษณ์นายดอนคิดว่าเป็นส่วนเสริมข้อมูลมากกว่าเป็นความเห็นขัดกัน

ป้ายรูปประยุทธ์ เพจ “ลุงตู่ตูน” ของใคร?

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร โพสต์ก่อน กกต. จะจัดประชุมพรรคการเมืองวันที่ 19 ธันวาคม เพื่อตกลงและซักซ้อมเกี่ยวกับการหาเสียงว่าจะมีวงเงินค่าใช้จ่ายอย่างไร และอะไรทำได้ ทำไม่ได้ โดยฝากคำถามหนึ่งไปถามว่า “ในกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบรับพรรคการเมืองหนึ่งเพื่อเป็น 1 ใน 3 รายชื่อผู้ถูกพรรคการเมืองเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรี ป้ายโครงการต่างๆของรัฐที่มีรูป พล.อ.ประยุทธ์อยู่ทั้งก่อนหน้าและหลังการประกาศ พ.ร.ฎ.การเลือกตั้งต้องเอาลงทั้งหมดหรือไม่ เพื่อไม่ให้ผิดกฎหมายในประเด็นการใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อการหาเสียงแก่พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง”

ถามกันล่วงหน้าเป็นวันๆ หวังว่าคำตอบจาก กกต. ในวันนั้นคงจะชัดเจน ไม่ใช่ว่าขอไปปรึกษาฝ่ายกฎหมาย หรือขอถามไปยัง คสช. ก่อน

นายสมชัยยังระบุว่า เพจ “ลุงตู่ตูน” ที่เผยแพร่ผลงานของรัฐบาลในรูปการ์ตูนที่ดูง่ายและเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ทราบที่มาว่าเป็นของหน่วยงานราชการหรือใช้งบประมาณของรัฐในการจัดทำหรือไม่ แต่มีข้อความหลายข้อความที่สื่อไปในทางอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯต่อ จึงอยากถามว่าช่วงการเลือกตั้ง กกต. จะมีวิธีการตรวจสอบอย่างไรว่าเป็นเพจของหน่วยงานราชการหรือไม่ เป็นการใช้ทรัพย์สินงบประมาณของรัฐเพื่อสนับสนุนพรรคการเมืองหรือไม่ และจะมีกลไกอย่างไรไม่ให้เกิดการใช้สื่อดังกล่าวเพื่อสร้างความได้เปรียบในการเลือกตั้งอย่างไม่เหมาะสม

อยู่ 4 ปีก็พอแล้ว

นายธนา ชีรวินิจ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ขอสะท้อนปัญหาการบริหารประเทศตลอด 4 ปีที่ผ่านมา และแจ้งให้ พล.อ.ประยุทธ์ทราบว่าปัญหาต่างๆที่รัฐบาลชุดนี้ไม่สามารถแก้ได้เลย 3 เรื่องคือ 1.การทุจริตคอร์รัปชัน เนื่องจากรัฐบาลนี้มาโดยมีข้ออ้างว่ารัฐบาลก่อนหน้านี้มีการทุจริตคอร์รัปชันอย่างมาก จนนำไปสู่การยึดอำนาจ และรัฐธรรมนูญก็เป็นฉบับปราบโกง แต่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนในการยึดมั่นปราบปรามการทุจริต เห็นได้ชัดคือการตรวจสอบการถือครองนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมถึงการลดกฎเกณฑ์และเงื่อนไขการแสดงบัญชีทรัพย์สินของผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ซึ่งถือเป็นหลักประกันอย่างหนึ่งของประชาชนในการที่คนที่จะเข้ามาสู่อำนาจหรือตำแหน่งที่มีเรื่องเงินทองเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ แต่ พล.อ.ประยุทธ์กลับใช้อำนาจตามมาตรา 44 เลื่อนระยะเวลาการบังคับใช้กฎหมาย แสดงให้เห็นว่าจุดยืนในการตรวจสอบการทุจริตไม่ได้เป็นจุดยืนที่แท้จริงของรัฐบาลชุดนี้ สอดรับกับข้อมูลที่ระบุว่าตัวเลขการทุจริตสูงกว่ารัฐบาลที่ผ่านมา

2.ไร้ธรรมาภิบาล ที่รัฐบาลนี้ตำหนิรัฐบาลในอดีตที่ผ่านมาไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเชื่อมั่นในหลักธรรมาภิบาลอย่างแท้จริง แม้กระทั่งรัฐมนตรี 4 คนที่ไปร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯหลังจากการเลือกตั้ง ก็อาศัยช่วงเวลาก่อนการเลือกตั้งทำงานการเมืองเอาเปรียบพรรคอื่น ส่วนการออกนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจก็ไม่ได้ทำอย่างยั่งยืน แต่ทำเพื่อหวังผลคะแนนเสียงเท่านั้น ขาดซึ่งธรรมาภิบาลและมารยาททางการเมือง

3.ปัญหาเศรษฐกิจ รัฐบาลบริหารประเทศตั้งแต่ปี 2557 ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำทุกตัว โดยไม่มีมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ทำได้เพียงแค่ประคับประคองให้ผ่านพ้นไปในช่วงเวลาหนึ่งๆเท่านั้น

ที่ผ่านมาพิสูจน์ได้ชัดว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่มีความสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาหนี้ครัวเรือนก่อนที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จะเข้ามาอยู่ที่ 10.2 ล้านล้านบาท แต่ 4 ปีครึ่งที่ผ่านมาหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นเป็น 12.34 ล้านล้านบาท เป็นการยืนยันให้เห็นชัดเจนว่ารัฐบาลนี้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงต่อการแก้ปัญหาปากท้องประชาชน ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้เป็นรูปธรรม กลับทำให้เศรษฐกิจของชาติตกต่ำที่สุด

“4 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการบริหารราชการแผ่นดิน สามารถสั่งโยกย้ายข้าราชการหรือดำเนินการในเรื่องใดก็ตามที่มีคนไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลตามมาตรา 44 เพราะฉะนั้นวันนี้ประชาชนจึงถามไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ว่า การตัดสินใจลงมาเล่นการเมือง พล.อ.ประยุทธ์จะสร้างความมั่นคงให้กับประเทศนี้ได้อย่างไร ในเมื่อ 4 ปีที่มีอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้เลย แต่วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์มาเสนอตัวเป็นนายกฯหลังการเลือกตั้ง ประชาชนจะอยู่อย่างไร ถือเป็นคำถามของประชาชนในวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศเป็นนักการเมืองเต็มตัว” นายธนากล่าว

ไม่รู้จักพอ ให้รอพายุใหญ่

น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เขียนคอลัมน์ (18 ธันวาคม) “ประสงค์พูด” หัวข้อ “ไม่รู้จักพอ ให้รอพายุใหญ่” ตอนหนึ่งว่า ความไม่รู้จักพอทำคนให้ตายทั้งเป็นมานักต่อนักแล้ว เพราะมีเท่าไรไม่รู้จักพอ ต้องวิ่งหาด้วยวิธีการต่างๆ แม้กระทั่งในทางทุจริต ไม่ถูกต้องชอบธรรม คนไม่รู้จักพอนั้นนอกจากจะก่อปัญหาให้กับตนเองแล้ว ยังเป็นปัญหากระทบไปถึงคนอื่นๆด้วยจากผลของการกระทำจากคนไม่รู้จักพอ โดยเฉพาะคนที่มีหน้าที่ในการบริหารจัดการบ้านเมืองในทุกระดับ มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วจากอดีตที่ผ่านมาใกล้ๆนี้และขณะนี้

คนที่ไม่รู้จักพอก็เหมือนกับคนหิวอยู่ตลอดเวลา ต้องหาโน่นหานี่มากินตลอดเวลา กลายเป็นคนโลภไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งความโลภนี่แหละที่ทำให้กลายเป็นคนทุจริตไปได้ง่ายๆ เพราะกล้าที่จะทำความไม่ถูกต้องต่อคุณธรรมและศีลธรรม หรือกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ อย่างไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น แม้กระทั่งกล้าที่จะโกงชาวบ้าน เอาเปรียบชาวบ้าน หรือคดโกงทรัพย์ของแผ่นดิน

ใครก็ตามที่อาสาเข้ามารับใช้บ้านเมือง จะเข้ามาตามกระบวนการที่กำหนดไว้ หรือเข้ามาจากวิธีการที่ไม่ได้เป็นไปตามกระบวนการปรกติที่กำหนดไว้ก็ตาม ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้จักพอ ไม่ดำเนินการบริหารจัดการสิ่งต่างๆในความรับผิดชอบที่ต้องกระทำ ไม่เป็นไปบนพื้นฐานแห่งคุณธรรมที่ดีงาม ฉกฉวยเอาเปรียบชาวบ้านที่เป็นผู้เสียภาษีให้พวกตนมาใช้จ่ายกันอยู่ในขณะนี้หรือในช่วงที่ผ่านมา โดยใช้จ่ายกันอย่างสุรุ่ยสุร่าย ใช้จ่ายอย่างไม่ประมาณตน หรือมีวาระแฝงเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆ ซึ่งแม้ตัวเองจะไม่กระทำ แต่ก็ต้องระวังคนอื่นรอบข้างด้วย เพราะจะไม่ก่อปัญหากับตนเท่านั้น แต่จะส่งผลกระทบไปถึงส่วนรวมได้เช่นเดียวกัน…

“บางอย่างที่ไม่สมควรจะทำในเวลานี้เพราะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไม่ดีก็ทำกัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งบประมาณแผ่นดินที่มาจากเงินภาษีของชาวบ้านไปใช้จ่าย ซื้อโน่นซื้อนี่ด้วยมูลค่าสูง โดยเฉพาะการซื้อเรือดำน้ำ รถถัง เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับสภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมของบ้านเมืองที่กำลังไม่ดี ชาวบ้านยังอดมื้อกินมื้อ บางคนไม่มีจะกินด้วยซ้ำไป รวมทั้งเรื่องอื่นๆที่ผู้คนในบ้านเมืองพากันอิดหนาระอาใจอยู่ในขณะนี้จากความไม่รู้จักพอ ผู้ใดรู้จักพอก็จะไม่ก่อปัญหาให้กับตัว แต่ถ้าผู้ใดไม่รู้จักพอก็ให้รอพายุใหญ่ที่กำลังมาถึง”

“ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” ถนนไฮเวย์เพื่อให้รถถังวิ่ง

เสียงปี่กลองการเลือกตั้งย่อมหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรงไม่ได้ รวมถึงการเคลื่อนไหวของประชาชนที่ถูก “กระบอกปืน” ปิดปากและปิดกั้นสิทธิเสรีภาพมากว่า 4 ปี ความจริงที่ถูกกดทับก็ระเบิดออกมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่ารัฐประหารครั้งนี้ไม่ได้ต่างจากรัฐประหารหลายครั้งที่ผ่านมา แม้จะมีการวางแผนมาอย่างดี แต่การ “สืบทอดอำนาจ” ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

โดยเฉพาะผลงานของรัฐบาลทหารและ คสช. สะท้อนชัดเจนถึงความล้มเหลวในการบริหารประเทศ หลายพรรคการเมืองและเครือข่ายภาคประชาชนจึงประกาศต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ “ทั่นผู้นำ” และ “ระบอบ คสช.” พรรคการเมืองใหญ่ประกาศจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทันทีที่มีโอกาส และไม่เอา “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” เพราะเป็นถนนไฮเวย์เพื่อให้รถถังวิ่ง ไม่ใช่ถนนที่ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี

อย่างที่นายจาตุรนต์กล่าวตอนหนึ่งในการประชุมพรรคไทยรักษาชาติว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างยิ่งจึงต้องแก้ไข ขณะที่บ้านเมืองที่ปกครองโดยรัฐบาลทหารที่ขณะนี้มีแค่ 2 ประเทศในโลกก็มีผู้นำที่ไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศมาเลย เป็นผู้นำที่ไร้วุฒิภาวะที่แทบหาไม่เจอเลย การปกครองแบบนี้ประชาชนไม่มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเสนอว่าประชาชนเดือดร้อนอย่างไร มีปัญหาอย่างไร กลายเป็นที่หงุดหงิดรำคาญใจให้ผู้นำตวาดใส่ ตะคอกใส่ตลอดเวลา

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ประกาศจะเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญทันทีหลังมีสภาผู้แทนราษฎร โดยจะเสนอให้เขียนกฎหมายเอาผิดการทำรัฐประหาร หากเกิดการยึดอำนาจให้ถือว่าประชาชนคือผู้เสียหายและฟ้องศาลให้ไต่สวนเป็นคดีพิเศษและไม่มีอายุความ ลบล้างมรดกรัฐประหารเพื่อ “ปักธงประชาธิปไตย” สร้างการเมืองแบบใหม่ที่ “เจ้านายคือประชาชน”

ฝ่าย “ระบอบอำนาจนิยม” และ “กลุ่มทุนผูกขาด” จึงทุ่มทุกอย่างเพื่อเอาชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะหากฝ่ายประชาธิปไตยชนะจะเกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่แน่นอน ไม่ใช่แค่ 2 พรรคการเมืองใหญ่ที่ชูธงต่อต้าน “ทั่นผู้นำ” และการสืบทอดอำนาจ “ระบอบ คสช.” แต่พรรคขนาดกลางและเล็ก เครือข่ายภาคประชาชน และนักวิชาการจำนวนมาก ก็ประกาศต้องยุติ “วงจรอุบาทว์”

ทำขนาดนี้ต้องด้านขนาดไหน? ปรบมือกันหน่อยครับ!!

กว่า 4 ปีภายใต้ “ปลายกระบอกปืน” และการบริหารประเทศที่ล้มเหลวคือความเจ็บปวดของประชาชนและฝ่ายประชาธิปไตยที่เหมือนย้อนกลับไปยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่รวมศูนย์อำนาจเบ็ดเสร็จทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ แต่มีคำถามว่าใครที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน เมื่ออำนาจทางการเมืองกลายเป็นการรวมศูนย์การทุจริตคอร์รัปชัน “คนดีทำอะไรก็ไม่ผิด” และการผูกขาดทางเศรษฐกิจ “รวยกระจุก จนกระจาย”

การเมืองจึงแบ่งเป็น 2 ขั้วชัดเจนคือ ฝ่ายไม่เอารัฐประหารและฝ่ายสนับสนุนรัฐประหาร แม้ “ทั่นผู้นำ” จะ “สืบทอดอำนาจ” ได้ แต่จะแตกต่างสิ้นเชิงกับ 4 ปีที่มีอำนาจปืน เคยหงุดหงิด ขี้โมโหและฉุนเฉียว ตะคอกตวาดใส่ใครก็ได้ ก็จะถูกตอบโต้และถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงวุฒิภาวะความเป็นผู้นำ

แม้ว่าขณะนี้ยังคงมีมาตรา 44 เป็นอำนาจที่อยู่เหนือกฎหมาย แต่เมื่อถึงเวลาต้องปรับเข้าสู่สภาพของการมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สามารถอภิปรายได้ อำนาจจาก “ปากกระบอกปืน” ก็ต้องเจอกับอาวุธจาก “ปากของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” เมื่อนั้นพายุการเมืองก็จะรุมถล่ม “ทั่นผู้นำ” จนสติแตก ยิ่งไม่มีวุฒิภาวะและไม่มีผลงาน ความนิยมและความศรัทธาก็ยิ่งจะหดหาย อำนาจจากในกองทัพก็จะเปลี่ยนทิศทาง ถึงวันนั้นเราคงได้เห็นอะไรเป็นอะไรเกิดขึ้นอีก

“ยุคป๋า” ที่ถือว่ามีอำนาจและบารมีแข็งแกร่งทั้งในระบบและนอกระบบยังประกาศว่า “พอแล้ว” เพราะรู้สถานการณ์ดีว่าหาก “ดื้อดึงดัน” จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองและประเทศชาติ ขณะที่อำนาจและบารมีของ “ทั่นผู้นำ” วันนี้เปรียบเหมือนมวยคนละรุ่นคนละชั้นกับ “ป๋า” แต่เสียงเตือนและเสียงตะโกน “ให้รู้จักพอ” ก็ยังไม่เข้าถึงหูชั้นใน

ในทางตรงกันข้าม กลับเห็นลิ่วล้อมากมายที่ออกมาสรรเสริญเยินยอให้ “ทั่นผู้นำ” ที่ติดใจในอำนาจ คงอยู่ในอำนาจต่อไป และยังกระหยิ่มยิ้มย่อง ภูมิอกภูมิใจนักหนากับกติกา กติโกง หรือกติกู ที่ดีไซน์ทุกอย่างเพื่อให้สืบทอดอำนาจต่อไปได้นานที่สุด อีกทั้งยังด้านชา หนากว่าทุกสรรพสิ่ง ถือเป็นความภาคภูมิใจที่สามารถเอาเปรียบใครต่อใครได้ โดยไม่สนใจว่าในยุคสังคมดิจิทัลนี้ แทบจะไม่มีข้อมูลอะไรที่ปิดได้ด้วยฝ่ามืออีกต่อไป

เอ้า! มัวรออะไรอยู่… ปรบมือให้พวกเขาหน่อย!!??


You must be logged in to post a comment Login