วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2567

เรียนรู้ หัวใจ…ทำไมเต้นผิดจังหวะ / โดย นพ.ยศวีร์ อรรฆยากร

On November 16, 2018

คอลัมน์ : โลกสุขภาพ

ผู้เขียน : นพ.ยศวีร์ อรรฆยากร โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 16-23 พฤศจิกายน 2561)

โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะหลายคนอาจมองเป็นเรื่องไกลตัว ทั้งที่ความจริงแล้วโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกช่วงวัย โดยต้นเหตุที่ทำให้เกิดโรคมีทั้งจากการป่วยด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ โรคประจำตัว เช่น ไทรอยด์เป็นพิษ อีกทั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิต ปัจจัยแวดล้อม และพันธุกรรม ล้วนมีส่วนทำให้เกิดโรคนี้ได้เช่นกัน ซึ่งความรุนแรงของโรคอาจส่งผลให้เสียชีวิตแบบกะทันหันได้ ดังนั้น การรู้เท่าทันโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรใส่ใจ

ปัจจุบันคนไข้ที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมักจะเจออาการหัวใจเต้นผิดจังหวะบ่อยที่สุดประมาณ 70% รวมทั้งกลุ่มที่มีโรคประจำตัวหรือรับประทานยาบางชนิด จากข้อมูลที่ผ่านมาพบว่าในคนไทย 1,000 คน จะพบโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ 40 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่มักเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป แต่ไม่ได้หมายความว่าเด็ก วัยรุ่น คนทำงาน จะเป็นไม่ได้ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะได้

โดยปรกติหัวใจของคนเราจะเต้นด้วยอัตรา 60-100 ครั้ง/นาที ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะจึงหมายถึง ภาวะหัวใจเต้นเร็วหรือช้ากว่าปรกติ อาจเกิดจากความผิดปรกติของกำเนิดกระแสไฟฟ้าหัวใจ การนำไฟฟ้าหัวใจ หรือทั้ง 2 อย่างรวมกัน โดยอาการผิดปรกติที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้ผู้ที่ป่วยมีอาการดังนี้ 1.หัวใจเต้นช้าผิดปรกติ คือน้อยกว่า 60 ครั้งต่อนาที 2.หัวใจเต้นเร็วผิดปรกติ คือเร็วกว่า 100 ครั้งต่อนาที 3.หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ เช่น เต้นๆหยุดๆ หรือเต้นเร็วสลับเต้นช้า

สาเหตุหลักของโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะได้แก่โรคหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคผนังกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวผิดปรกติ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคความดันโลหิตสูง โรคลิ้นหัวใจผิดปรกติ และโรคประจำตัว ได้แก่ โรคไทรอยด์เป็นพิษ โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคไตวายเรื้อรัง เป็นต้น รวมถึงการใช้ยาแก้หวัดบางชนิดที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีน ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นหัวใจ เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนผสม ได้แก่ ชา กาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง แอลกอฮอล์ เป็นต้น

ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดปรกติส่วนหนึ่งจะไม่มีอาการ ทำให้ไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เป็นอัมพาตจนถึงเสียชีวิต การสังเกตอาการเบื้องต้น หากมีอาการดังนี้ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีคือ ใจสั่นผิดปรกติ วูบ หน้ามืด เป็นลม จุกแน่นขึ้นคอ ลิ้นปี่ เจ็บแน่นหน้าอก อ่อนเพลีย ไม่มีแรง นอนราบไม่ได้

โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะสามารถวินิจฉัยได้หลายรูปแบบ ได้แก่ 1.การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ECG (Electrocardiogram) เหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการตลอดเวลา 2.เครื่องบันทึกสัญญาณไฟฟ้า 24-48 ชั่วโมง (Holter Monitoring 24-48 hr.) เหมาะกับผู้ป่วยที่หัวใจเต้นผิดจังหวะในช่วงสั้นๆ แต่เป็นบ่อยเกือบทุกวัน 3.เครื่องบันทึกสัญญาณไฟฟ้าแบบพกพา (Event Recorder) เหมาะกับผู้ป่วยที่หัวใจเต้นผิดจังหวะไม่บ่อย อาจจะเดือนละ 1-2 ครั้ง โดยเครื่องจะบันทึกเป็นช่วงเวลาสั้นๆ และกดปุ่มส่งบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจมาที่โรงพยาบาลได้ 4.เครื่องบันทึกสัญญาณไฟฟ้าชนิดฝังเครื่องใต้ผิวหนังบริเวณหน้าอก (Implantable Loop Recorder) เหมาะกับผู้ป่วยที่หัวใจเต้นผิดจังหวะไม่บ่อย จะใช้วิธีฝังบริเวณหน้าอกด้านซ้าย 5.การตรวจเช็กสัญญาณไฟฟ้าที่ผิดปรกติในหัวใจโดยใช้สายสวนหัวใจ (EP Study) วิธีนี้จะใช้ในกรณีที่ไม่สามารถเจอภาวะหัวใจเต้นผิดปรกติได้จากการตรวจต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น

การรักษาโรคขึ้นอยู่กับผู้ป่วยว่าเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะแบบใด โดยมีวิธีในการรักษาดังต่อไปนี้ การให้ยาต้านหัวใจเต้นผิดจังหวะ การช็อกไฟฟ้าหัวใจเพื่อให้หัวใจกลับมาเต้นปรกติ การจี้ไฟฟ้าหัวใจด้วยสายสวนหัวใจชนิดพิเศษสวนเข้าไปบริเวณเส้นเลือดดำที่ขาหนีบ การติดเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยหัวใจเต้นช้ามากผิดปรกติ มี 2 แบบคือ ชนิดกระตุ้นห้องเดียวและสองห้อง การเลือกฝังเครื่องขึ้นอยู่กับผู้ป่วยเป็นสำคัญ โดยแบตเตอรี่ใช้งานได้ 10 ปีขึ้นไป และเข้าเครื่อง MRI ได้ เครื่องกระตุกหัวใจอัตโนมัติหรือเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ (AICD) ในกรณีที่ผู้ป่วยหัวใจห้องล่างเต้นเร็วผิดปรกติ หากหัวใจไม่กลับมาเต้นตามปรกติในเวลาที่รวดเร็วอาจเสียชีวิตได้ โดยแบตเตอรี่จะมีอายุใช้งาน 7-8 ปีขึ้นไป ข้อดีของเครื่องนี้คือ ถ้าอยู่บ้านแล้วหัวใจเต้นผิดจังหวะจนถึงขั้นมีอันตรายถึงชีวิต เครื่องกระตุกหัวใจจะทำงานอัตโนมัติเพื่อให้ผู้ป่วยฟื้น

เราสามารถห่างไกลโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ ได้แก่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 45 นาที/วัน 3-5 วัน/สัปดาห์ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ อย่ารับประทานอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็มมาก นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 6-8 ชั่วโมง/วัน ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี หากมีโรคประจำตัวควรติดตามอาการกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะไปกระตุ้นทำให้เกิดอาการหัวใจเต้นเร็วผิดปรกติ ได้แก่ ความเครียด วิตกกังวล พักผ่อนไม่เพียงพอ ออกกำลังกายหักโหม การสูบบุหรี่ นอกจากนี้ผู้ป่วยที่หัวใจเต้นผิดจังหวะควรมาพบแพทย์ตามนัดทุก 1-2 เดือน เพื่อติดตามผลการรักษาและอาการอย่างต่อเนื่อง

 


You must be logged in to post a comment Login