วันพฤหัสที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2567

เขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้า? / โดย นายหัวดี

On November 12, 2018

คอลัมน์ : ฉุก(ละหุก)คิด

ผู้เขียน : นายหัวดี

เรื่องการเมืองมีทั้งขาขึ้นและขาลง การเดินหาเสียง หาคะแนน หาสมาชิก ของแต่ละพรรคการเมืองตอนนี้ ก็พอจะมองออกว่าประชาชนชื่นชอบหรือไม่อย่างไร อย่างที่มีการเปรียบเทียบระหว่างคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ กับคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ

คุณหญิงสุดารัตน์ชูนโยบายของพรรคเพื่อไทยโดยเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นวาระแห่งชาติ เป็นนโยบายที่ค่อนข้างโดนใจคน เพราะการทำให้คุณภาพมนุษย์ดีขึ้น มีศักยภาพดีขึ้น และมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น จะทำการ ทำธุรกิจอะไรก็จะดีขึ้น ชีวิตความเป็นอยู่ก็มีความสุข ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องและน่าชื่นชม

ตรงข้ามกับนักการเมืองที่ยังใช้วิธีเดิมๆก็จะถูกด่าถูกว่า จึงไม่แปลกที่จะเห็นฝ่ายหนึ่งได้เสียงเชียร์กันสนั่นหวั่นไหว แต่อีกฝ่ายถูกวิพากษ์วิจารณ์ถูกต่อว่าต่างๆนานา ฝ่ายหนึ่งขาลง อีกฝ่ายก็ขาลง แต่จะขึ้นหรือลงแค่ไหนก็ต้องดูกันต่อไป ดูว่าประชาชนจะเลือกใคร เลือกอย่างไร เพราะการเมืองไม่มีอะไรแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงอย่าไปดูถูกดูแคลน อย่างคุณสุเทพก็อาจมีไม้เด็ดมาแก้ก็ได้ เพราะมีประสบการณ์ทางการเมืองมานาน คนเรามีสมองก็คงไม่ยอมให้สมองฝ่อ ต้องใช้สมองให้เกิดประโยชน์ เหมือนยุคนี้ที่มีสมองกลหรือเอไอมาช่วยมากมายหลายเรื่อง

เรื่องการเมืองอยู่ที่ผลงานและพฤติกรรมของแต่ละคน ซึ่งประชาชนรู้ดีว่าจะเลือกหรือไม่เลือก พรรคการเมืองจึงต้องมีนโยบายที่จะทำให้ประชาชนเชื่อถือ หาเสียงแล้วต้องทำได้ ใครมีนโยบายหรือไม้เด็ดที่โดนใจก็จะเป็นฝ่ายชนะ

ประเทศเรามีจุดอ่อนมีปัญหาเรื่องคน บางคนถูกชักจูงง่าย นักการเมืองก็ถูกใบเหลืองใบแดง จนพูดกันว่าคนไทยเป็นคนเชื่อคนง่าย จึงมักตกเป็นเหยื่อพวกที่หลอกลวงและหากินในทางมิชอบง่าย เห็นได้จากเรื่องเครื่องรางของขลังที่ออกมาขาย ออกมาอวดอ้างความศักดิ์สิทธิ์ต่างๆนานา คนจำนวนมากก็หลงเชื่อ เสียเงินมากมายเพื่อซื้อหา อย่างนี้เรียกว่าไม่มีสมอง เพราะเชื่องมงาย

ก็อยากฝากญาติโยมที่อ่านคอลัมน์นี้ว่า ถ้าใครแอบอ้างว่าเคยมาทำงานกับพระพยอม เคยมาสร้างตึกสร้างโน่นสร้างนี่ให้พระพยอม เพื่อให้บริจาคต่างๆนานา หลอกว่าจะไปสร้างโน่นสร้างนี่ อย่าเชื่อโดยเด็ดขาด ถ้าจะบริจาคก็ให้มาที่วัด มาบริจาคที่พระพยอม จะสร้างอะไรอาตมาก็จะว่าจ้างเอง จะสร้างสาขา สร้างอะไรที่วัดก็จะบอกให้รู้ ไม่ใช่ไปแอบเรี่ยไร

ขอให้มีเครื่องกรองติดสมองกันหน่อย รู้จักพิจารณา วินิจฉัยใคร่ครวญด้วยเหตุด้วยผล คือมีโยนิโสมนสิการดี แล้วก็จะเป็นมนุษย์ที่ดี ไม่ถูกหลอกถูกต้ม ไม่หากินในทางชั่วร้าย เป็นมนุษย์ก็ต้องไม่ทำให้ตัวเองตกต่ำจนไม่มีความเป็นมนุษย์

เจริญพร

ปัญหาเรื่องนายกและกรรมการสภามหาวิทยาลัย รวมทั้งอธิการบดีในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไม่ใช่ประเด็นที่ผู้บริหารและกรรมการในมหาวิทยาลัยทยอยกันลาออกเท่านั้น

โดยเฉพาะ “มีชัย ฤชุพันธุ์” ที่เป็นคนร่างก็ลาออกจากการเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ อ้างว่า “ไม่ใช่เพราะกลัวการตรวจสอบ แต่ไม่อยากวุ่นวาย” ทั้งที่ “แป๊ะมีชัย” เป็นแม่ทัพใหญ่ คสช. ในการออกคำสั่งต่างๆ ซึ่งต้องยึดตามรัฐธรรมนูญที่อุปโลกน์ว่าเป็น “ฉบับปราบโกง” แต่กำลังเป็น “วัวพันหลัก” หรือ “งูกินหาง” ทั้งยังถือเป็นการประจานตัวเอง เหมือน “ผู้มีอำนาจ” ที่โชว์ว่าเป็น “คนดี” แต่ไม่กล้าแตะต้องญาติพี่น้องและพวกพ้อง         ซึ่งรัฐธรรมนูญมาตรา 234 ระบุว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน ทั้งของตนเอง คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ (วรรค 3)

บรรดาผู้บริหารและกรรมการมหาวิทยาลัยจึงทยอยกันลาออก ไม่ใช่เพราะอาจเกิดปัญหากับตัวเองเท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลถึงภรรยาและบุตรหากเกิดข้อผิดพลาด เช่น ลืมแจ้งข้อมูลอะไรเพียงนิดเดียวก็อาจถูกอายัดบัญชีทางการเงินและส่งผลกระทบกับธุรกิจ

ที่ประชุมอธิการบดีโยน “เผือกร้อน” ให้ ป.ป.ช .แก้ปัญหา ซึ่งวิธีง่ายที่สุดคือ แก้กฎหมายด้วยการยกเลิกหรืองดบังคับใช้ประกาศ แต่จะถูกตราหน้าว่า “เขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้า” อย่างที่ “วีระ สมความคิด” ตีแสกหน้าว่าถ้ายกเลิกหรืองดใช้เท่ากับ “ผู้รักษากฎหมายละเมิดกฎหมาย” เอง

ยิ่งเจตนารมณ์ของกฎหมายรวมถึงข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐทุกคน ซึ่งต้องยื่นนับล้านคน จึงไม่มีเหตุผลที่จะยกเลิกหรืองดประกาศใช้ เพราะถ้าไม่โกงก็ไม่ต้องกลัว!


You must be logged in to post a comment Login