วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2567

อย่าเอาแต่ตัดพ้อ

On October 23, 2018

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

ข่าวการสอบทุจริต ร่ำรวยผิดปรกติของ 2 นายพลทหารกองทัพจีน สะเทือนมาถึงกองทัพไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอย่าง “บิ๊กป้อม” เพราะในยุครัฐบาลทหาร คสช. กองทัพไทยสั่งซื้ออาวุธจากจีนหลายรายการมูลค่ารวมมหาศาล แม้ “บิ๊กป้อม” จะยืนยันว่าไม่รู้จักกับ 2 นายพลที่ถูกสอบและเป็นคนละคนกับคนที่เดินทางมาไทย แต่ไม่ควรมองเรื่องนี้ในมุมการเมืองที่ถูกฝ่ายตรงข้ามยกมาเป็นประเด็นโจมตีอย่างเดียว ควรใช้โอกาสนี้สร้างเครดิตให้ตัวเองและรัฐบาลทหาร คสช. ด้วยการติดต่อขอข้อมูลการสอบสวน 2 นายพลว่ามีการกระทำใดเกี่ยวข้องกับการขายอาวุธให้กองทัพไทยหรือไม่ ไม่ว่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องหรือไม่ แค่การขอข้อมูลนอกจากตบปากคนที่ออกมากล่าวหายังเพิ่มเครดิตให้ตัวเองด้วย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีรายงานข่าวที่น่าสนใจจากเซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์เกี่ยวกับการเอาผิดนายพลในกองทัพของจีนที่กระทำการทุจริต ซึ่งถูกโยงมาถึงคนใหญ่คนโตในรัฐบาลทหาร คสช. เพราะนายพลคนดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการซื้อขายอาวุธให้กับกองทัพไทย

อย่างไรก็ตาม ในรายงานข่าวไม่ได้แจ้งว่าการเอาผิดครั้งนี้เกี่ยวข้องกับการทุจริตขายอาวุธให้กองทัพไทยหรือไม่

ตามข่าวระบุว่า นายทหาร 2 คนที่ถูกสอบเอาผิดคือ พล.อ.ฝาง เฟิงฮุย วัย 66 ปี ประธานคณะเสนาธิการร่วม และคณะกรรมาธิการทหารกลางแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และ พล.อ.จาง หยาง นายพลแห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีน และสมาชิกคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทั้ง 2 คนโดนไล่ออกจากตำแหน่งก่อนที่การสอบสวนจะเริ่มขึ้นช่วงปลายปีก่อน

ทั้งนี้ พล.อ.จางฆ่าตัวตายภายในบ้านพักก่อนที่ผลการสอบสวนจะเสร็จสิ้นจึงถูกยึดทรัพย์เป็นของแผ่นดิน ส่วน พล.อ.ฝางการสืบสวนเสร็จแล้ว อยู่ระหว่างการดำเนินการในชั้นศาล

เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ยังคาดการณ์ว่ามีนายทหารน้อยใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตครั้งนี้อีกไม่น้อยกว่า 300 นาย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 500 ล้านบาท

หลังจากมีข่าวนี้ออกมาส่งผลกระทบถึงรัฐบาลทหาร คสช. และกองทัพไทย เพราะมีคนตั้งคำถามว่าการจัดซื้ออาวุธจากจีนหลายรายการในช่วงที่ผ่านมามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสอบสวนเอาผิดนายพลของจีนหรือไม่

คนที่ถูกจับจ้องมากที่สุดคงไม่พ้น “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพราะเป็นผู้ที่มีบทบาทอย่างมากในการเจรจาซื้ออาวุธจากจีนในช่วงที่ผ่านมา และพบว่านายพลทั้ง 2 คน เคยเดินทางมาหารือเรื่องอาวุธกับกองทัพของไทย

“บิ๊กป้อม” ยืนยันว่านายพลที่ถูกสอบทั้ง 2 คน เป็นคนละคนกับที่เดินทางมาคุยเรื่องซื้อขายอาวุธกับตัวเอง เพราะคนที่มาคือนายเมิ่ง เจี้ยน จู้ ซึ่งตอนนี้เกษียณอายุราชการไปแล้ว

“เรื่องดังกล่าวเราไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย การเจรจาซื้อขายอาวุธทำในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ไม่ได้ดำเนินการผ่านบริษัท ซึ่งคนที่ผมสนิทคือ นายเมิ่ง เจี้ยน จู้ อดีตกรรมการประจำคณะกรรมการกลาง และเลขาธิการคณะกรรมการการเมืองและกฎหมายพรรคคอมนิวนิสต์จีนคนเดียว ส่วน 2 คนนั้นไม่รู้จัก สื่อชอบเอาเรื่องของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไปเขียนเลอะเทอะ ชอบทำให้ผมเป็นตำบลกระสุนตก มันไม่ใช่เรื่องจริง แล้วสื่อชอบพูดเรื่องไม่จริงให้เป็นจริง

ทั้งนี้ “บิ๊กป้อม” ยังยืนยันด้วยว่า การซื้ออาวุธเป็นเรื่องที่กองทัพดำเนินการ ส่วนตัวไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

จากคำชี้แจงของ “บิ๊กป้อม” สรุปได้ 2 เรื่องคือ ไม่รู้จักกับนายพลจีนที่ถูกสอบทุจริต การจัดซื้ออาวุธเป็นเรื่องที่กองทัพดำเนินการเองแบบจีทูจี แม้ตนจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแต่ไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

ฟังจากน้ำเสียงของ “บิ๊กป้อม” แล้วก็น่าเห็นใจที่กลายเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลทหาร คสช. ให้ถูกโจมตีเป็นระยะๆ

อย่างไรก็ตาม แม้จะมองว่าเรื่องนี้ถูกนำมาใช้โจมตีทางการเมือง แต่สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลทหาร คสช. โดยเฉพาะ “บิ๊กป้อม” ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมควรทำมากกว่าการออกมาตัดพ้อคือ ใช้ตำแหน่งหน้าที่หรือใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับคนในกองทัพจีน ติดตาม ติดต่อขอข้อมูลการสอบสวน 2 นายพลที่ถูกตั้งข้อหาทุจริต ร่ำรวยผิดปรกติ ว่ามีการกระทำใดเกี่ยวข้องกับการขายอาวุธให้กองทัพไทยหรือไม่

ถ้ามีก็ต้องดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องตามกฎหมาย

ถ้าไม่มีก็เป็นการล้างข้อครหา เพิ่มเครดิตให้ตัวเอง เพิ่มเครดิตให้รัฐบาลทหาร คสช. ว่าจริงจังกับการต่อต้านทุจริต ไม่ปากว่าตาขยิบ


You must be logged in to post a comment Login