วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2567

โต้ความคิดอวิชชาเรื่องโลกร้อน

On September 19, 2018

คอลัมน์ โลกอสังหาฯ “โต้ความคิดอวิชชาเรื่องโลกร้อน”
โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย
(โลกวันนี้วันสุข 21-28 กันยายน 2561)

เรากำลังโฆษณาชวนเชื่อเรื่องโลกร้อนกันอย่างเมามัน โดยแทบไม่เคยชี้แจงข้อมูลให้กระจ่าง นี่ย่อมเป็นกระบวนการของอวิชชาโดยแท้ ผมขอลงทุนมองต่างมุมเพื่อหวังให้เกิดสังคมอุดมปัญญาที่จะเชื่อกันด้วยวิจารณญาณจากการไตร่ตรองด้วยประจักษ์หลักฐานและเหตุผลอย่างรอบด้าน ที่ผมว่าต้อง “ลงทุน” นำเสนอนั้น เพราะการมองต่างจาก “ฝ่ายธรรมะ” (ที่พยายามเย้วๆปลุกให้คน “ทำดี” เพื่อให้ตนเองดูดีนั้น) ย่อมเสี่ยงต่อการถูกบริภาษหรือถูกมองในแง่ลบ แต่ผมก็ได้เพียงหวังว่าวิญญูชนจะร่วมกันพิจารณาครับ

โลกร้อน

สำหรับข้อโต้แย้งในที่นี้ ผมขอนำเสนอเป็นข้อๆดังนี้

1.วิทยากรเรื่องโลกร้อนมักจะนำเสนอในลักษณะคล้ายการนำเสนอทางวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าการนำเสนอเหล่านั้นมักจะนำเสนอด้วยข้อมูลด้านเดียว และมักไม่มีแหล่งอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนมาให้ผู้ฟังได้วินิจฉัย ดูเป็นการ “ยกเมฆ” มากกว่า เช่น การที่โลกอุ่นขึ้นก็มองเพียงว่าทำให้เชื้อโรคอยู่ได้นานขึ้น แต่ไม่บอกความจริงว่าโลกอุ่นทำให้สามารถผลิตธัญญาหารได้มากขึ้น หรือการละเลยความจริงที่ว่าโลกร้อนก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม และเคยร้อนอย่างเป็นวัฏจักรมาก่อน หรือโลกเคยมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มหาศาลกว่าในปัจจุบัน เป็นต้น

2.การ “ขู่” ว่าน้ำแข็งขั้วโลกจะละลายภายในเวลา 30-40 ปี เมื่อถึงตอนนั้นน้ำจะท่วมโลกในระดับความสูงถึง 80 เมตร เรื่องนี้วิญญูชนควรไตร่ตรอง การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติอะไรจะรวดเร็วได้ถึงขนาดนั้น ชั่วเวลานานแสนนานจึงจะมีน้ำท่วมโลกสักที จู่ๆก็จะท่วมภายในเวลาเพียงแค่นี้ นี่แสดงว่าพวกคลั่งเรื่องโลกร้อนบางส่วนจินตนาการเพ้อฝันยิ่งกว่านิยายวิทยาศาสตร์ในภาพยนตร์เรื่อง “Water World” เสียอีก

3.การ “โฆษณาชวนเชื่อ” ด้วยการนำภาพเด็ดต่างๆมานำเสนอ เช่น น้ำท่วมนครเวนิส ในขณะที่บางครั้งน้ำคลองในเวนิสก็เหือดแห้งจนพายเรือไม่ได้ (https://bit.ly/2MCVB2g) หรือการบิดเบือนว่าน้ำทะเลในอ่าวไทยเพิ่มขึ้น ทั้งที่มีการศึกษาเช่นกันว่าระดับน้ำลดลง (https://bit.ly/2NND3AV) นอกจากนี้ยังชอบกล่าวว่าชายฝั่งทะเลถูกกัดเซาะไป โดยไม่นำพาข้อเท็จจริงในอีกด้านหนึ่งว่ามีการงอกของที่ดินริมทะเลในพื้นที่อื่นเช่นกัน (http://bit.ly/2oFiI2G)

4.การ “ใส่ไข่” ว่าพื้นที่ชายฝั่งแถวกรุงเทพมหานครและปริมณฑลถูกกัดเซาะต่อเนื่องเพราะภาวะโลกร้อนจนวัดอยู่กลางน้ำ ทั้งที่สาเหตุหลักเป็นเพราะการทำลายป่าชายเลน การทรุดตัวของแผ่นดินจากการสูบน้ำบาดาล และอื่นๆ และกลับละเลยความจริงที่ว่าพื้นที่ลึกเข้าไปในลุ่มน้ำเจ้าพระยา เช่น วัดเจดีย์หอย ปทุมธานี เคยเป็นทะเล และกลายเป็นแผ่นดินเพราะการสะสมของตะกอนจนถึงทุกวันนี้

5.ที่น่า “ละอาย” อย่างมากเลยก็คือการโยงแทบทุกปัญหาในโลกนี้ว่าเป็นผลพวงจากภาวะโลกร้อน เช่น พายุนาร์กีส ทั้งที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเคยมีที่ร้ายแรงกว่านี้มาแล้วในภูมิภาคนี้ในอดีต (https://bit.ly/2DcauJI) นอกจากนี้การประท้วงเรื่องอาหารในเฮติหรือในประเทศอื่นก็ยังถูกเหมารวมว่าเป็นเพราะภาวะโลกร้อนเช่นกัน

6.การนำเสนออย่างไม่ฉุกคิดถึงเหตุผล เช่น หิมะบนยอดเขาคีรีมันจาโรหรือยอดเขาสูงอื่นๆละลายได้อย่างไร ในขณะที่ตลอดทั้งปีมีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง และแม้ว่าหากอุณหภูมิบนผิวโลกจะสูงขึ้นบ้าง บนยอดเขาก็ยังต่ำกว่าจุดเยือกแข็งอยู่ดี การที่น้ำแข็งจะละลายอาจเป็นเพราะสาเหตุอื่นที่ควรศึกษาให้ละเอียด เช่น การเปลี่ยนแปลงใต้พิภพ ไม่ใช่สักแต่โทษเรื่องโลกร้อน

7.พวกนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อเรื่องโลกร้อนมัก “ใส่ร้าย” ผู้อื่น เช่น พอนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เชื่อเรื่องโลกร้อนออกมาตั้งคำถามต่อพวกเขา พวกเขาก็มักจะกล่าวหาว่าพวกนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นรับใช้นายทุนหรือประเทศมหาอำนาจ เป็นต้น โดยมักไม่ใส่ใจถกเถียงทางวิชาการให้ชัดเจน จะสังเกตได้ว่าพวกคลั่งเรื่องโลกร้อนมักเอาเครดิต ความน่าเชื่อถือของตัวเองมาจูงใจให้คนเชื่อ (ผิดหลักกาลามสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าเชื่อเพียงเพราะว่าคนพูดเป็นอาจารย์) มากกว่าการใช้ประจักษ์หลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาหักล้าง

8.พวกคลั่งเรื่องโลกร้อนมักจะไม่ใส่ใจการพัฒนาประเทศ คิดแต่เพียงว่าน้ำจะท่วมกรุงเทพมหานคร ต้องหนีไปที่อื่น คิดไปไกลถึงขนาดว่าไม่ควรสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินเพราะจะเป็นการสูญเปล่า อวดฉลาดว่าสนามบินสุวรรณภูมิที่สร้างด้วยเงินหลายแสนล้านบาทจะเป็นความสูญเปล่า พวกนี้ไม่ยอมรับความจริงว่าประเทศเนเธอร์แลนด์ก็ยังอยู่ได้ในระดับต่ำกว่าน้ำทะเลมานานแล้ว โดยบางแห่งต่ำกว่าถึงสิบกว่าเมตร การคิดแบบ “งอมืองอเท้า” ของคน “ขวางโลก” เหล่านี้เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะเป็นการคิดที่ยอมจำนนและไม่สร้างสรรค์อะไรเลย

9.พวกนี้ยังมีความคิดที่เป็นไสยศาสตร์ เช่น นักวิทยาศาสตร์โลกร้อนคนหนึ่งอภิปรายว่า ขณะนี้ไม่มีทางออกแล้ว การทำบุญตักบาตรหรือถวายสังฆทานอาจเป็นวิธีหนึ่ง เพราะอย่างน้อยก็เป็นการบำบัดจิต การที่ “นักวิทยาศาสตร์” ชิงบทบาทของนักการศาสนามานำเสนอเช่นนี้เป็นเรื่องน่าสลดยิ่ง นี่ไม่ใช่การแสดงว่าพวกเขาเป็นศาสนิกชนที่ดี คนพวกนี้เพียงนำศาสนามาเป็นอาภรณ์ประดับให้ตนดูดีมากกว่า

โปรดอย่าเข้าใจผิดว่าผมไม่เห็นด้วยกับการรณรงค์ให้สังคมดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมนะครับ ผมสนับสนุนการอนุรักษ์ป่าไม้ (https://bit.ly/1EzkKXb) ทุกคนควรประหยัดการใช้ทรัพยากรของโลกอยู่แล้ว แต่การพยายาม “โฆษณาชวนเชื่อ” ให้คนเชื่อทฤษฎีโลกร้อนที่ขาดประจักษ์หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และมักกระทำด้วยการใช้ความน่ารัก น่าสงสารของคน สัตว์ และสิ่งของ มาชักจูงให้คล้อยตามนั้น เป็นสิ่งที่เราควรใช้วิจารณญาณให้ดี ถ้าน้ำจะท่วมจริงป่านนี้สิงคโปร์ ฮ่องกง และมหานครริมทะเลทั้งหลาย ก็คงกระวีกระวาดสร้างกำแพงกันน้ำกันยกใหญ่แล้ว แต่นี่มีเฉพาะไทยที่ถูกหลอกอยู่หรือเปล่า

โปรดสังเกตว่าคนที่ออกมาโพนทะนาเรื่องโลกร้อนมักชอบใช้ความกลัวทำให้คนงมงาย และมักพยายามพูดดีเพื่อให้ตนเองดูดีเป็นสำคัญ ผมนำเสนอข้อโต้แย้งเหล่านี้เพื่อให้เกิดการอภิปรายและวินิจฉัยกันด้วยเหตุผล อันจะทำให้เกิดการคิดค้นหาทางออกของปัญหามากกว่าการยอมจำนน เพื่อสังคมอุดมปัญญาที่คิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์

 


You must be logged in to post a comment Login