วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567

ติดรสหวาน มัน เค็มมากไป…หัวใจอ่อนแอ / โดย นพ.อนุสิทธิ์ ทัฬหสิริเวทย์

On August 31, 2018

คอลัมน์ : โลกสุขภาพ

ผู้เขียน : นพ.อนุสิทธิ์ ทัฬหสิริเวทย์ อายุรแพทย์หัวใจ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ

 

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 31 สิงหาคม -7 กันยายน 2561)

พฤติกรรมการรับประทานอาหารของคนในปัจจุบันมักเน้นรสชาติที่ถูกปาก เมนูหน้าตาถูกใจ สีสันชวนน่ารับประทาน โดยเฉพาะรสหวาน มัน เค็ม ที่เรียกได้ว่าเป็นรสชาติยอดนิยมของคนไทย แต่กลับส่งผลเสียต่อสุขภาพหากขาดการควบคุมและบริโภคเกินพอดี

อย่างที่ทราบกันดีว่าเมืองไทยเรานั้นมีอาหารให้เลือกกินมากมาย ที่สำคัญอาหารไทยมีครบทุกรส ทั้งหวาน มัน เค็ม เผ็ด เปรี้ยว รสชาติที่ชวนกินจึงนำไปสู่ความเสี่ยงในการบริโภคเกินพอดี ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดโรคหัวใจถ้าไม่รีบควบคุมปริมาณให้พอเหมาะไว้

1.หวานไปไม่ดี น้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานที่ไม่มีสารอาหารอื่นๆ เมื่อบริโภคมากเกินไปร่างกายจึงได้รับแต่พลังงานเพียงอย่างเดียว ที่น่าสนใจคือแม้น้ำตาลจะมีหลายชนิด แต่ให้พลังงานไม่ต่างกันคือประมาณ 4 กิโลแคลอรีต่อกรัม และแม้ร่างกายจะมีกระบวนการป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดสูงเกินไป แต่หากบริโภคน้ำตาลมากเกินไปจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ส่งผลให้ร่างกายหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนเพื่อนำน้ำตาลในเลือดเข้าสู่เซลล์แล้วเปลี่ยนเป็นพลังงาน ทั้งนี้ แต่ละคนจะตอบสนองต่ออินซูลินไม่เท่ากัน คนที่หลั่งอินซูลินแต่ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์จะส่งผลให้น้ำตาลในเลือดสูง เกิดแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจได้ในที่สุด

ป้องกันไม่ให้หวานมากเกินไปได้อย่างไร สามารถป้องกันระดับน้ำตาลในร่างกายไม่ให้เกินได้ โดยกินน้ำตาลให้น้อยเฉลี่ยไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา (24 กรัม) เลี่ยงเครื่องดื่มทุกชนิดที่มีน้ำตาลมากกว่าร้อยละ 5 ซึ่งสังเกตได้จากฉลากข้างขวด เลือกกินผลไม้ที่มีปริมาณน้ำตาลน้อย เช่น ฝรั่ง มะละกอ แอปเปิ้ลเขียว ส่วนของหวานหลังอาหารกินได้ แต่ควรเน้นรสหวานน้อย และสลับกับการกินผลไม้หลังมื้ออาหาร

2.มันมากโรคถามหา ไขมันถือเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายและเป็นแหล่งพลังงานสำคัญ ไขมัน 1 กรัม ให้พลังงานสูงถึง 9 กิโลแคลอรี มากกว่าคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน หากกินไขมันมากเกินไป นอกจากจะทำให้อ้วนยังนำไปสู่โรคเรื้อรังได้ โดยเฉพาะไขมันทรานส์ที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการผลิตไขมันเทียม ซึ่งพบในเนยขาว เนยเทียม เบเกอรี่ โดนัท คุกกี้ ครีมเทียมบางชนิด ฯลฯ หากกินมากเกินไปจะไปสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือด ส่งผลให้เส้นเลือดตีบ ทั้งยังเพิ่มไขมันชนิดไม่ดี (LDL) และลดไขมันชนิดดี (HDL) ทำให้มีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มสูงขึ้นได้ นอกจากนี้การกินอาหารที่มีกรดไขมันอิ่มตัวมาก ซึ่งมักพบในน้ำมันจากสัตว์ เนื้อสัตว์ที่มีไขมันขาวๆ ไขมันในนม และเนยสด จะส่งผลให้โคเลสเตอรอลสูง เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดมากขึ้นเช่นกัน

วิธีป้องกันไม่ให้ไขมันเกินคือ ควรกินไขมันให้น้อยไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา (30 กรัม) กินเนื้อสัตว์ไม่มีหนัง ไม่ติดมัน และไม่ควรเกิน 9 ช้อนโต๊ะต่อวัน เลี่ยงอาหารทอด เพราะน้ำมันที่ใช้ทอดอาหารอย่างน้ำมันหมู น้ำมันปาล์ม ฯลฯ มักจะมีกรดไขมันอิ่มตัวมาก งดอาหารที่มีไขมันทรานส์ เช่น เค้ก ครีมเทียม ป๊อปคอร์น แฮมเบอร์เกอร์ ฯลฯ และไม่ควรกินอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ เป็นต้น

3.เค็มมากร่างพัง ความเค็มเป็นรสชาติที่ติดปากคนไทย ซึ่งมาจากสารประกอบโซเดียมคลอไรด์หรือเกลือที่นำมาใช้ในการทำอาหาร โซเดียมมีประโยชน์กับร่างกายคือ ช่วยให้ระบบไหลเวียนของร่างกายเป็นปรกติ ความดันและปริมาตรของเลือดเป็นปรกติ แต่หากได้รับโซเดียมมากเกินไปจะนำมาซึ่งผลเสียต่อสุขภาพคือ เมื่อกินเกลือจะอยากดื่มน้ำ พอดื่มน้ำเข้าไปรวมเป็นน้ำเกลือก็จะเพิ่มปริมาณเกลือแร่ในเลือด ส่งผลให้หัวใจต้องสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆหนักขึ้น เปรียบเหมือนหัวใจเล่นเวท ทำให้แรงดันหลอดเลือดสูง อาจเกิดภาวะหัวใจโต นำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวได้ และการกินเค็มมากไปทำให้เป็นความดันโลหิตสูง ซึ่งนำไปสู่ภาวะเส้นเลือดในสมองแตกหรืออัมพาตได้ ที่น่ากลัวคือเมื่อโซเดียมมากเกินไป ร่างกายอาจไม่แสดงอาการ แต่จะทำลายอวัยวะต่างๆไปเรื่อยๆ ดังนั้น การตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปีคือสิ่งสำคัญ

เราสามารถป้องกันโซเดียมไม่ให้เกินได้โดยควรกินโซเดียมให้น้อยไม่เกินวันละ 1 ช้อนชา (2,000 มิลลิกรัม) งดการเติมน้ำปลาพริกในอาหาร ไม่จิ้มพริกเกลือเมื่อกินผลไม้ เลี่ยงการกินอาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูป อาหารหมักดอง อาหารอบแห้ง ขนมกรุบกรอบ และลดความถี่ปริมาณการกินน้ำจิ้มต่างๆลง

สิ่งสำคัญคือการปรับพฤติกรรม โดยลดการกินหวาน มัน เค็ม จะช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้ นอกจากนี้การตรวจเช็กสุขภาพหัวใจก็มีความสำคัญ หากรู้ว่าตนเองมีปัจจัยเสี่ยง ติดกินอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็ม ในปริมาณมาก ไม่ควรชะล่าใจ ควรตรวจคัดกรองโรคหัวใจเช็กความแข็งแรงของหลอดเลือด ยิ่งถ้ามีปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรมยิ่งควรใส่ใจเข้ารับการตรวจเช็กหัวใจเป็นประจำทุกปี เพื่อห่างไกลจากโรคหลอดเลือด


You must be logged in to post a comment Login