วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567

อดของจำเป็นเพื่ออดของไม่จำเป็น

On June 5, 2018

 

คอลัมน์ สันติธรรม “อดของจำเป็นเพื่ออดของไม่จำเป็น”

โดย บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้วันสุข วันที่ 8-15 มิถุนายน 2561)

มนุษย์เราหลายคนเคยอดอาหารด้วยเหตุผลต่างกัน

บางคนอดเพราะไม่มีจะกินจริงๆ อย่างเช่นผู้ตกอยู่ในซากอาคารถล่มเพราะพิษของสงคราม คนเหล่านี้ต้องอดข้าวอดน้ำ 2-3 วันกว่าจะมีคนมาช่วย

บางคนมีกินแต่ตั้งใจอดอาหารเอง เพราะต้องการลดน้ำหนักหรือเพื่อรูปทรงที่ดีขึ้นของเรือนร่าง

บางคนก่อนเข้ารับการผ่าตัดหมอสั่งให้อดน้ำอดอาหารเป็นเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อผลดีต่อการผ่าตัด

บางคนอดข้าวประท้วงทางการเมือง แต่ยังกินน้ำ วันไหนทนหิวไม่ไหวก็แอบหลบไปกินข้าวแล้วออกมาประท้วงต่อ

fasting

คนที่อดอาหารด้วยเหตุผลดังกล่าวล้วนได้รับผลสำเร็จตามที่ตัวเองตั้งใจไว้ แต่การอดอาหารดังกล่าวเป็นการอดอาหารด้วยเหตุผลทางโลก จึงมิใช่การอดอาหารตามหลักการศาสนา

เหตุผลอย่างเดียวที่ทำให้การอดอาหารเป็นการปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาหรือที่เรียกว่าการถือศีลอดคือ การอดหรืองดเว้นเพื่อพระเจ้าหรือเพราะพระเจ้าสั่งให้อด และต้องอดด้วยความเต็มใจ แม้จะมีกินและสามารถกินได้ก็ตาม

เมื่อโมเสสถูกสั่งให้ขึ้นไปรับคัมภีร์โตราห์บนภูเขาในคาบสมุทรซีนาย เขารู้ว่าคัมภีร์โตราห์ที่เขาจะไปรับนั้นเหมือนดั่งน้ำทิพย์ที่ใสสะอาดจากฟากฟ้าเบื้องบน ถ้าตัวเขาเป็นเหมือนแก้วที่ไม่สะอาดหรือขุ่นมัวก็ไม่เหมาะสมที่จะบรรจุน้ำทิพย์ที่ใสสะอาด และหากมีน้ำทิพย์ใสอยู่ข้างใน แต่ถ้าแก้วสกปรก คนที่เห็นแก้วอาจไม่แน่ใจและไม่ดื่มน้ำทิพย์ที่ใสสะอาด ดังนั้น เขาจึงถือศีลอดอาหารและน้ำยาวนานถึง 40 วัน เพื่อขัดเกลาตัวเองให้เป็นแก้วใสไว้รับน้ำทิพย์อันสะอาดบริสุทธิ์จากพระเจ้า

การถือศีลอดอาหารและน้ำของเขาที่ทำไปเพื่อพระเจ้าจึงเป็นการปฏิบัติศาสนกิจ และเป็นต้นแบบการถือศีลอดของลูกหลานอิสราเอลนับแต่นั้นเป็นต้นมา

หลังสมัยของโมเสส ลูกหลานอิสราเอลส่วนใหญ่ได้ละทิ้งการถือศีลอดไปเพราะทนหิวกระหายไม่ไหว เนื่องจากโมเสสถือศีลอดวันละ 24 ชั่วโมง และกินเพียงมื้อเดียวเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ลูกหลานอิสราเอลส่วนใหญ่จึงถือศีลอดวันเดียวในรอบปี โดยถือในวันที่ตรงกับวันที่โมเสสขึ้นไปรับคัมภีร์โตราห์

เมื่อละทิ้งวินัยการถือศีลอด ศีลธรรมของพวกลูกหลานอิสราเอลจึงเสื่อมทรามเป็นเวลาหลายร้อยปี เยซัสไครสต์จึงมาฟื้นฟูการถือศีลอดตามแบบโมเสสอีกครั้ง แต่หลังจากสมัยของเยซัสไครสต์ สาวกส่วนใหญ่ของท่านก็ไม่ต่างอะไรไปจากสาวกของโมเสส น้อยคนที่ยังคงดำรงรักษาวินัยการถือศีลอดตามแบบอย่างของศาสดาที่ตัวเองนับถือ

การละทิ้งการถือศีลอดนี้เองที่ทำให้สาวกของเยซัสไครสต์รุ่นหลังๆเริ่มฝ่าฝืนคำสั่งห้ามหลายประการในพระธรรมบัญญัติ เช่น การห้ามกินเนื้อสุกร สุรา และดอกเบี้ย เป็นต้น

หลังสมัยเยซัสไครสต์ 570 ปี นบีมุฮัมมัดได้มาฟื้นฟูการถือศีลอดที่ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งชายหญิงที่มีความศรัทธาทุกคนสามารถปฏิบัติได้ และถือเป็นศาสนกิจสำคัญที่ใครไม่ปฏิบัติถือเป็นบาปใหญ่ และเพื่อให้ทุกคนปฏิบัติได้ การอดอาหารและน้ำจึงเริ่มตั้งแต่ก่อนแสงอรุณปรากฏจนถึงดวงอาทิตย์ตก

การถือศีลอดตามหลักการอิสลามจะถูกถือว่าเป็นการปฏิบัติศาสนกิจก็ต่อเมื่อผู้ถือศีลอดมีเจตนาว่าจะทำเพื่อพระเจ้าเท่านั้น ไม่มีเหตุผลอื่นแอบแฝง และในคัมภีร์กุรอานกล่าวไว้ชัดเจนว่า วัตถุประสงค์ของการถือศีลอดมีเพียงประการเดียวเท่านั้น นั่นคือ เพื่อให้เกิดความรู้สึกยำเกรงพระเจ้า

การถือศีลอดในอิสลามต้องการจะให้บทเรียนแก่ผู้ถือศีลอดว่า ถ้าสิ่งจำเป็นเช่นข้าวและน้ำยังงดเว้นได้ ทำไมสิ่งที่ไม่จำเป็นเช่นอบายมุขที่ก่อให้เกิดบาปและโทษจะละเว้นไม่ได้

ดังนั้น การถือศีลอดในอิสลามจึงไม่เพียงแต่แค่อดอาหารและน้ำเท่านั้น แต่ยังต้องอดการคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ที่ศาสนาต้องการให้งดด้วย ถ้าอดข้าวและน้ำ แต่ยังพูดชั่วทำชั่วอยู่ การถือศีลอดก็เป็นแค่เพียงการหิวเปล่าเท่านั้นเอง

 

 


You must be logged in to post a comment Login