วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567

ทำไมจึงปวดท้องเวลามีประจำเดือน / โดย รศ.พญ.มานี ปิยะอนันต์

On May 4, 2018

คอลัมน์ : พบหมอศิริราช

ผู้เขียน :  รศ.พญ.มานี ปิยะอนันต์

(โลกวันนี้วันสุข วันที่ 4-11 พฤษภาคม 2561)

การมีประจำเดือนเป็นธรรมชาติของสตรีเมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ จากการศึกษาของโรงพยาบาลศิริราชเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา พบว่าอายุเฉลี่ยของการมีประจำเดือนครั้งแรกของเด็กผู้หญิงไทยประมาณ 12 ปี 7 เดือน เด็กผู้หญิงทางภาคเหนือมีอายุเฉลี่ยของการมีประจำเดือนเร็วกว่าภาคอื่นๆ ส่วนเด็กภาคใต้มีอายุเฉลี่ยของการมีประจำเดือนช้ากว่าภาคอื่นๆ

เมื่อเริ่มมีประจำเดือนผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีอาการปวดท้องขณะมีประจำเดือน บางคนจึงคิดว่าอาการปวดประจำเดือนนั้นเป็นสิ่งธรรมดาที่เกิดขึ้นระหว่างการมีประจำเดือน ถ้าคิดแบบนี้ก็คงจะใช้ได้กับคนที่มีอาการปวดประจำเดือนไม่มาก คือปวดพอรู้สึกรำคาญ ไม่ต้องรับประทานยาอาการก็หายไปเอง อาการปวดประจำเดือนนี้ส่วนใหญ่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1-2 ของการมีประจำเดือน และจะหายไปภายใน 1-2 วัน แต่มีผู้หญิงบางรายที่มีอาการปวดท้องมากขณะมีประจำเดือนทุกครั้ง จะต้องรับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล 2 เม็ด อาการจึงทุเลา ซึ่งลักษณะการปวดประจำเดือนทั้ง 2 อย่างที่กล่าวมาแล้วถือว่าเป็นเรื่องปรกติที่เกิดได้ในผู้หญิง เป็นอาการปวดประจำเดือนที่ไม่รู้สาเหตุ แต่ส่วนใหญ่เมื่อแต่งงานแล้วอาการจะหายไป

พวงชมพูเป็นผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ด้วยอาการปวดท้องมากเวลามีประจำเดือน อาการปวดท้องนี้เริ่มเป็นตั้งแต่อายุ 20 ปี ตอนแรกๆก็ปวดพอทนไหว แต่ต่อมามีอาการปวดมากขึ้น ต้องรับประทานพาราเซตามอล 2 เม็ด ในวันแรกของประจำเดือน อาการจึงจะดีขึ้น และต่อมาต้องเพิ่มการรับประทานยาพาราเซตามอลเป็นครั้งละ 2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง ในวันที่ 1-2 ของการมีประจำเดือน ใน 1 ปีที่ผ่านมาเริ่มรู้สึกว่ายาแก้ปวดไม่สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้ เธอจึงต้องไปพบแพทย์ที่คลินิกทุกครั้งที่มีประจำเดือน เมื่อแพทย์ฉีดยาแก้ปวดให้อาการปวดจึงดีขึ้นบ้าง ขณะนี้อายุได้ 30 ปี เธอมีความกังวลใจมาก เพราะระยะ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ปวดท้องมากจนต้องหยุดงานทุกครั้งที่มีประจำเดือน บางทีมีอาการหน้ามืดคล้ายจะเป็นลมด้วย ต้องรับประทานยาแก้ปวดที่แพทย์ให้มาแล้วนอนพักผ่อน หลังจากตื่นขึ้นมาอาการจึงจะทุเลา

เมื่อเธอมาปรึกษาแพทย์ แพทย์แนะนำให้ตรวจภายใน เพราะอาการไม่ใช่การปวดท้องธรรมดา น่าจะมีสาเหตุซึ่งแพทย์พบเสมอคือเยื่อบุมดลูกอยู่ผิดที่ เช่น เยื่อบุมดลูกไปอยู่ในอุ้งเชิงกราน รังไข่ หรือแทรกเข้าไปในเนื้อมดลูก เป็นต้น จากการตรวจภายในพบว่ามีก้อนที่บริเวณรังไข่ ลักษณะเป็นถุงน้ำขนาดประมาณ 10 เซนติเมตร แพทย์จึงแนะนำให้ทำการผ่าตัด เธอกลัวมากว่าจะต้องถูกตัดมดลูกทิ้ง แพทย์จึงอธิบายให้ฟังอยู่นานจนเข้าใจว่าแพทย์จะต้องพยายามทำการผ่าตัดโดยเก็บมดลูกและรังไข่ไว้เพื่อให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ในอนาคต การมีเยื่อบุมดลูกอยู่ผิดที่เป็นสาเหตุหนึ่งซึ่งทำให้มีบุตรยาก แต่ถ้าตั้งครรภ์ได้เยื่อบุมดลูกที่อยู่ผิดที่นี้จะสลายตัวไปในระหว่างการตั้งครรภ์ ดังนั้น หลังจากมีบุตรแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น

การมีเยื่อบุมดลูกอยู่ผิดที่นั้น หญิงบางรายเป็นมากแต่ไม่มีอาการผิดปรกติใดๆเลย ส่วนบางรายเป็นไม่มากกลับมีอาการปวดท้องมาก ในรายที่เป็นไม่มากแพทย์อาจจะรักษาด้วยการให้ยา เช่น ยารับประทานหรือยาฉีด แต่การใช้ยาเหล่านี้มักมีปัญหา คือยาค่อนข้างแพง และผลการรักษาไม่แน่นอน บางรายอาจกลับมาเป็นอีกหลังจากหยุดยา

คุณพวงคราม ซึ่งเป็นแม่ของคุณพวงชมพู สงสัยเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของบุตรสาว อยากทราบว่าเยื่อบุมดลูกอยู่ผิดที่มีสาเหตุมาจากอะไรเพื่อจะได้ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก ปัญหานี้คงตอบได้ยาก เพราะยังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง แต่เหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้มี 2 ประการคือ

1.เป็นมาตั้งแต่กำเนิดจากสาเหตุใดไม่ทราบ ทำให้มีเนื้อเยื่อคล้ายเยื่อบุมดลูกไปอยู่ในรังไข่ รังไข่จึงโตเป็นถุงน้ำที่เรียกว่าช็อกโกแลตซีสต์ โดยทั่วไปแล้วถ้าแพทย์ตรวจพบซีสต์ที่รังไข่โตเกิน 6 เซนติเมตร จะแนะนำให้ทำการผ่าตัด

2.เกิดจากการไหลย้อนกลับของเลือดประจำเดือนเข้าในช่องท้อง โดยไหลผ่านท่อนำไข่เข้าไป ซึ่งพิสูจน์ได้ มักพบโรคนี้ในสตรีที่เคยมีบุตรแล้ว เพราะในเลือดประจำเดือนจะมีส่วนของเยื่อบุมดลูกลอกหลุดออกมาปนอยู่ด้วย ดังนั้น เมื่อเลือดไหลเข้าในช่องท้องจึงมีส่วนของเยื่อบุมดลูกหลุดเข้าไปฝังตัวได้


You must be logged in to post a comment Login